อาหารและเครื่องดื่ม

ต้มแซ่บ คืออะไร? ต้นกำเนิดและเสน่ห์อาหารอีสานสุดแซ่บที่ต้องลิ้มลอง

เคยสงสัยไหมว่าเวลาไปร้านส้มตำแล้วเห็นคนโต๊ะข้าง ๆ สั่ง ต้มแซ่บกระดูกหมู พอหม้อมาตั้งโต๊ะ กลิ่นสมุนไพรก็โชยมาถึง แล้วคนกินก็ซดจนน้ำแทบไม่เหลือ อาหารจานนี้มีเสน่ห์อะไรถึงทำให้ใครได้ลองแล้วต้องติดใจ? วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ ต้มแซ่บ อาหารอีสานสุดจัดจ้านที่มาพร้อมกลิ่นหอมสมุนไพร รสเปรี้ยว เผ็ด และความกลมกล่อมที่ลงตัวแบบไม่มีใครเทียบ

ต้มแซ่บเป็นมากกว่าแค่อาหารจานหนึ่ง มันคือตัวแทนของอาหารอีสานที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมการกินของคนอีสานที่เน้นความเรียบง่าย ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล และการปรุงที่ไม่ซับซ้อน แต่ให้รสชาติที่เข้มข้นจัดจ้าน ในบทความนี้จะพาไปเจาะลึกว่าต้มแซ่บคืออะไร มีต้นกำเนิดมาจากไหน ส่วนผสมหลักมีอะไรบ้าง และทำไมถึงกลายเป็นเมนูยอดนิยมที่หลายคนหลงรัก

ต้มแซ่บ คืออะไร?

ต้มแซ่บ เป็นอาหารไทยภาคอีสานประเภทต้มยำชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายคลึงกับต้มยำของภาคกลาง แต่สิ่งที่ทำให้ต้มแซ่บแตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาตัวก็คือการใส่พริกแห้งและข้าวคั่วลงไป ทำให้มีกลิ่นหอมและรสชาติที่เข้มข้นกว่า คำว่า “แซ่บ” ในภาษาอีสานแปลว่า “อร่อย” ซึ่งสะท้อนถึงรสชาติที่จัดจ้านและน่าลิ้มลองของอาหารจานนี้

ต้มแซ่บมีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ เนื้อสัตว์ (นิยมใช้หมู วัว หรือกระดูกอ่อน) สมุนไพร อย่างข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกทั้งสดและแห้ง ปรุงรสด้วยมะนาว น้ำปลา และจุดเด่นคือข้าวคั่วที่ให้กลิ่นหอมและความข้นของน้ำซุป โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชีฝรั่ง และใบโหระพา ทำให้ได้ซุปที่มีรสชาติครบทุกมิติ – เผ็ด เปรี้ยว เค็ม และหอมสมุนไพร

รสชาติของต้มแซ่บจะไม่เปรี้ยวมากเมื่อเทียบกับต้มส้มที่ได้ความเปรี้ยวจากผักเปรี้ยวอย่างยอดมะขามหรือตะลิงปลิง โดยต้มแซ่บจะมีรสชาติที่กลมกล่อมและสมดุลกว่า เวลากินมักจะทานคู่กับข้าวเหนียวร้อน ๆ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวและเป็นเอกลักษณ์ของวิถีอาหารอีสาน

นอกจากนี้ ต้มแซ่บยังมีความคล้ายคลึงกับ ต้มโคล้ง ซึ่งนิยมใช้ปลากรอบหรือปลาแห้ง มีการใส่น้ำมะขามเปียก แต่ไม่ใส่ข้าวคั่ว ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้แต่ละเมนูมีเอกลักษณ์และรสชาติที่โดดเด่นไม่เหมือนกัน

ต้มแซ่บ คืออะไร?

ต้นกำเนิดและประวัติความเป็นมาของต้มแซ่บ

ต้มแซ่บมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมอาหารอีสาน ซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย สันนิษฐานว่าต้มแซ่บเพิ่งเกิดขึ้นในยุคไม่นานมานี้ โดยพัฒนามาจากการดัดแปลง แกงอ่อม ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวอีสาน

แกงอ่อมเป็นอาหารที่มีมานาน มีลักษณะเป็นแกงใส่น้ำน้อยและข้นคล้ก นิยมใส่ผักหลากชนิดทั้งบวบ ฟักทอง เห็ด ถั่วฝักยาว ร่วมกับเนื้อสัตว์อย่างไก่ เนื้อ หรือกบ ใส่ผักกลิ่นหอม ได้รสเค็มนำจากน้ำปลาร้า เมื่อเวลาผ่านไป คนอีสานได้นำแกงอ่อมมาปรับรสชาติให้จัดจ้านขึ้น ใส่พริกแห้งและข้าวคั่วลงไป เพื่อให้มีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้นมากยิ่งขึ้น จึงกลายเป็นต้มแซ่บที่เรารู้จักในปัจจุบัน

ภูมิภาคอีสานมีลักษณะเป็นที่ราบสูง มีแม่น้ำสายสำคัญอย่างแม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล เป็นแหล่งทรัพยากรอาหารหลัก ในบางพื้นที่มีความแห้งแล้ง ส่งผลให้คนอีสานมีภูมิปัญญาในการถนอมอาหารเก็บไว้กิน เช่น การทำปลาร้า ซึ่งกลายเป็นวัตถุดิบขึ้นชื่อที่ใช้ในอาหารอีสานหลายจาน

อาหารอีสานมีรสชาติที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ คือ ความเค็มจากน้ำปลาร้า รสเผ็ดจากพริกสดและพริกแห้ง ส่วนใหญ่จะมีลักษณะแห้ง เข้มข้น มีน้ำแบบขลุกขลิก และไม่นิยมใส่กะทิ การกินต้มแซ่บจึงเป็นการผสมผสานของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น

ในปัจจุบัน ต้มแซ่บได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ในภาคอีสานเท่านั้น ร้านอาหารอีสานในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ๆ ต่างมีเมนูต้มแซ่บเป็นจานประจำร้าน สะท้อนถึงการยอมรับและความชื่นชอบของคนไทยทั่วประเทศที่มีต่ออาหารอีสานสุดแซ่บจานนี้

ส่วนผสมหลักและความพิเศษของต้มแซ่บ

ความอร่อยของต้มแซ่บมาจากส่วนผสมที่เรียบง่ายแต่ลงตัว แต่ละอย่างมีบทบาทสำคัญในการสร้างรสชาติและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ มาดูกันว่าส่วนผสมหลักมีอะไรบ้าง

  • เนื้อสัตว์ เป็นวัตถุดิบหลักของต้มแซ่บ ที่นิยมมากที่สุดคือ กระดูกอ่อนหมูหรือซี่โครงหมู เพราะเนื้อเยอะ กระดูกไม่แข็งเกิน และนุ่มพอดี บางร้านอาจใช้เนื้อหมู เนื้อวัว หรือไก่บ้าน ขึ้นอยู่กับความชอบ การเลือกเนื้อสัตว์ที่สด มีมันพอประมาณ จะช่วยให้น้ำซุปมีความหวานธรรมชาติและเข้มข้น
  • สมุนไพร เป็นหัวใจสำคัญที่ให้กลิ่นหอมและรสชาติของต้มแซ่บ ได้แก่ ข่า ที่ให้กลิ่นหอมเผ็ดร้อน ตะไคร้ ที่ให้กลิ่นสดชื่น ใบมะกรูด ที่ให้กลิ่นหอมซิตรัส และ หอมแดง ที่เพิ่มความหวานและกลมกล่อม การใช้สมุนไพรสดจะช่วยเพิ่มความหอมและรสชาติที่แท้จริงของอาหารอีสาน
  • พริก ทั้งพริกสดและพริกแห้งเป็นส่วนผสมที่สำคัญ พริกขี้หนู ให้ความเผ็ดร้อน ส่วน พริกป่น ที่โรยหน้าก่อนเสิร์ฟจะเพิ่มความหอมและสีสันให้น่ารับประทาน ความเผ็ดของต้มแซ่บสามารถปรับได้ตามชอบ แต่ความเผ็ดในระดับหนึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของอาหารจานนี้
  • ข้าวคั่ว เป็นส่วนผสมที่ทำให้ต้มแซ่บแตกต่างจากต้มยำทั่วไป ข้าวคั่วให้กลิ่นหอมและช่วยให้น้ำซุปมีความข้น สร้างเนื้อสัมผัสที่กลมกล่อม นอกจากนี้ยังเพิ่มรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และช่วยให้อาหารอิ่มท้องมากขึ้น การคั่วข้าวให้หอมก่อนบดเป็นผงจะช่วยเพิ่มความหอมของเมนู
  • เครื่องปรุงรส ประกอบด้วย น้ำปลา ที่ให้ความเค็มและกลิ่นหอม น้ำมะนาว ที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่น และ น้ำตาล เล็กน้อยเพื่อปรับความกลมกล่อม การปรุงรสต้องสมดุลระหว่างเค็ม เปรี้ยว และเผ็ด เพื่อให้ได้รสชาติที่แซ่บถึงใจ
  • ผักโรยหน้า อย่าง ต้นหอม ผักชีฝรั่ง และ ใบโหระพา จะเติมเต็มความหอมสดชื่น สร้างสีสันและมิติของรสชาติในช่วงท้าย ผักเหล่านี้ควรใส่ก่อนเสิร์ฟ ไม่ต้มนานเกินไปเพื่อคงความสดและกลิ่นหอมไว้

ความพิเศษของต้มแซ่บอยู่ที่การผสมผสานของส่วนผสมทั้งหมดที่ลงตัว ทำให้ได้อาหารที่มีรสชาติเข้มข้น หอมสมุนไพร และสร้างความอิ่มท้องพอดี เหมาะสำหรับทานในทุกโอกาส โดยเฉพาะในวันที่อากาศเย็นหรือต้องการอาหารที่ให้พลังงาน

เคล็ดลับการทำต้มแซ่บให้อร่อยแบบมืออาชีพ

การทำต้มแซ่บให้อร่อยไม่ใช่เรื่องยาก แต่มีเทคนิคบางอย่างที่จะช่วยยกระดับรสชาติให้เข้าถึงความสมบูรณ์แบบ มาดูเคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้ต้มแซ่บบ้านเราแซ่บไม่แพ้ร้านดัง

  • เลือกวัตถุดิบที่สดและมีคุณภาพ เป็นสิ่งแรกที่สำคัญที่สุด กระดูกหมูหรือเนื้อสัตว์ควรสดใหม่ มีมันพอประมาณ สมุนไพรอย่างข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดควรใช้แบบสด ๆ ไม่ควรใช้แบบแห้งเพราะจะทำให้กลิ่นหอมลดลง วัตถุดิบที่ดีเป็นรากฐานของอาหารที่อร่อย
  • ล้างและเตรียมวัตถุดิบให้ดี ก่อนต้ม ควรล้างกระดูกหมูหรือเนื้อสัตว์ให้สะอาด ถ้าต้องการให้น้ำซุปใส ควรลวกน้ำร้อนก่อนเพื่อกำจัดคราบเลือดและฟองไขมัน จากนั้นจึงนำไปต้มในน้ำสะอาดใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้น้ำซุปไม่คาวและมีสีใสสวยงาม
  • เคี่ยวให้เปื่อยนุ่ม การต้มกระดูกหมูหรือเนื้อสัตว์ควรใช้เวลาพอสมควร ประมาณ 40-60 นาที ขึ้นอยู่กับชิ้นเนื้อ ใช้ไฟอ่อนถึงกลาง ไม่ต้องรีบเร่ง เพื่อให้เนื้อเปื่อยนุ่มและน้ำซุปมีรสหวานธรรมชาติจากกระดูกและเนื้อ ระหว่างเคี่ยวควรช้อนฟองออกเป็นครั้งคราว
  • ใส่สมุนไพรในช่วงที่เหมาะสม ข่าและตะไคร้ควรใส่ตั้งแต่ต้นเพื่อให้กลิ่นหอมซึมเข้าไปในน้ำซุป แต่ใบมะกรูดและผักสดอื่น ๆ ควรใส่ในช่วงท้ายเพื่อคงความสดและกลิ่นหอมไว้ การจัดการเวลาใส่สมุนไพรจะช่วยให้แต่ละชนิดมีกลิ่นหอมที่สมบูรณ์
  • ปรุงรสอย่างสมดุล รสชาติของต้มแซ่บต้องมีความสมดุลระหว่างเค็ม เปรี้ยว และเผ็ด ควรปรุงรสทีละน้อย ชิมบ่อย ๆ น้ำมะนาวควรใส่หลังปิดไฟเพื่อให้มีรสเปรี้ยวสด ไม่ขม ข้าวคั่วและพริกป่นควรโรยหน้าก่อนเสิร์ฟเพื่อให้กลิ่นหอมและความกรอบยังคงอยู่
  • เสิร์ฟร้อน ๆ ต้มแซ่บอร่อยที่สุดเมื่อกินร้อน ๆ กลิ่นสมุนไพรจะฟุ้งกระจาย น้ำซุปจะมีรสชาติที่เข้มข้น ควรเสิร์ฟคู่กับข้าวเหนียวร้อน ๆ และผักสดอย่างผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว เพื่อช่วยลดความมันและเพิ่มเนื้อสัมผัส
  • ปรับรสตามความชอบ ต้มแซ่บสามารถปรับแต่งได้ตามความชอบของแต่ละคน ถ้าชอบเผ็ดก็เพิ่มพริก ชอบเปรี้ยวก็เติมมะนาว ชอบหอมสมุนไพรก็ใส่เพิ่ม ความยืดหยุ่นนี้ทำให้ต้มแซ่บเป็นอาหารที่เข้ากับทุกคนได้

การทำต้มแซ่บให้อร่อยไม่จำเป็นต้องใช้ส่วนผสมที่ซับซ้อน แต่ต้องใส่ใจในรายละเอียดและคัดเลือกวัตถุดิบที่ดี ลองทำตามเคล็ดลับเหล่านี้ รับรองว่าจะได้ต้มแซ่บที่แซ่บถึงใจ ไม่แพ้ร้านดัง สามารถเสิร์ฟให้ครอบครัวและเพื่อน ๆ ได้อย่างภาคภูมิใจ

รูปแบบต้มแซ่บยอดนิยมที่ควรลอง

ต้มแซ่บมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามวัตถุดิบหลักที่ใช้ แต่ละแบบมีเอกลักษณ์และรสชาติที่น่าสนใจ มาดูกันว่ามีรูปแบบไหนบ้างที่น่าลอง

  • ต้มแซ่บกระดูกอ่อนหมู เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ใช้กระดูกอ่อนหมูหรือซี่โครงหมู ซึ่งมีเนื้อติดพอประมาณ เมื่อเคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม กระดูกจะมีคอลลาเจนออกมาทำให้น้ำซุปมีความข้นและหวาน เนื้อหมูนุ่มละมุนลิ้น เข้ากันได้ดีกับรสชาติเผ็ดเปรี้ยวของน้ำซุป
  • ต้มแซ่บเนื้อวัว สำหรับคนชอบเนื้อแดง ใช้เนื้อวัวชิ้นหรือกระดูกเนื้อ เนื้อวัวให้รสหวานเข้มข้นและหอมเฉพาะตัว การเลือกเนื้อส่วนที่มีมันพอประมาณ เช่น สันคอหรือสันใน จะช่วยให้น้ำซุปมีรสชาติดีและเนื้อไม่แข็งจนเกินไป
  • ต้มแซ่บไก่ เหมาะสำหรับคนที่ชอบรสชาติที่อ่อนหวานกว่า ใช้ไก่บ้านหรือไก่พื้นเมือง ซึ่งมีเนื้อแน่นและหอมกว่าไก่เนื้อทั่วไป ต้มแซ่บไก่มักจะมีรสชาติที่กลมกล่อมและไม่มันเกินไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำมัน
  • ต้มแซ่บปลา นิยมในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ ใช้ปลาน้ำจืดอย่างปลาช่อน ปลานิล หรือปลาเนื้อขาว ปลาให้รสหวานสดชื่นและน้ำซุปจะใสกว่ารูปแบบอื่น ต้องระวังไม่ต้มนานเกินไปเพราะเนื้อปลาจะแตกและเละ
  • ต้มแซ่บปลาหมึก เป็นรูปแบบที่แปลกใหม่และน่าสนใจ ใช้ปลาหมึกท่อหรือปลาหมึกยักษ์ ซึ่งมีเนื้อสัมผัสเหนียวหนึบ บางสูตรอาจใส่ไส้หมูสับยัดในปลาหมึกเพื่อเพิ่มรสชาติและความน่าสนใจ รสชาติของปลาหมึกจะช่วยเพิ่มความหวานธรรมชาติให้กับน้ำซุป
  • ต้มแซ่บเครื่องในหมู สำหรับคนชอบเครื่องใน ใช้ตับ หัวใจ ไต หรือลำไส้หมู ให้รสชาติที่เข้มข้นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้องล้างทำความสะอาดให้ดีเพื่อไม่ให้มีกลิ่นคาว เมนูนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความแปลกใหม่
  • เล้งแซ่บ เป็นรูปแบบพิเศษที่ใช้เอียเล้ง คือกระดูกสันหลังของหมูที่เลาะเนื้อส่วนใหญ่ออกไป เหลือเพียงเนื้อติดกระดูกบ้างเล็กน้อย เคยเป็นส่วนที่ร้านก๋วยเตี๋ยวใช้ต้มน้ำซุปแล้วทิ้ง แต่ต่อมามีคนนำมาทำเป็นเล้งแซ่บจนกลายเป็นเมนูยอดนิยม

การเลือกรูปแบบต้มแซ่บขึ้นอยู่กับความชอบและวัตถุดิบที่หาได้ แต่ละแบบมีความพิเศษและน่าลิ้มลองในแบบของมันเอง ลองหมุนเวียนทานกันไป จะได้ค้นพบรสชาติที่หลากหลายและน่าตื่นเต้นของอาหารอีสานสุดแซ่บจานนี้

ต้มแซ่บกับวัฒนธรรมการกินของคนอีสาน

ต้มแซ่บไม่ได้เป็นเพียงแค่อาหารจานหนึ่ง แต่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนอีสานที่มีความสำคัญในหลายมิติ การกินต้มแซ่บเป็นการแบ่งปันและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน

ในวัฒนธรรมอีสาน การกินอาหารมักเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกัน โดยเฉพาะการกินข้าวเหนียวและอาหารแกล้ม ต้มแซ่บจึงมักจะสั่งมาเป็นหม้อใหญ่ ตั้งกลางโต๊ะ ให้ทุกคนได้ตักร่วมกัน การล้อมวงนั่งกินต้มแซ่บพร้อมกับเพื่อน ๆ หรือครอบครัวเป็นช่วงเวลาของการพูดคุย หัวเราะ และสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่น

คำว่า “แซ่บ” ในภาษาอีสานไม่ได้หมายความเพียงแค่ความเผ็ดจัดจ้าน แต่แปลว่า “อร่อย” หรือ “นัว” ซึ่งหมายถึง “กลมกล่อม” อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้คนมักเข้าใจผิดว่าแซ่บต้องเผ็ดมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารอีสานไม่จำเป็นต้องเผ็ดทุกจาน มีหลายเมนูที่ไม่เผ็ดแต่ก็แซ่บไม่แพ้กัน

อาหารอีสานมีความเรียบง่าย ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล และการปรุงไม่ซับซ้อน นี่เป็นภูมิปัญญาที่เกิดจากการปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรที่มีอยู่ ต้มแซ่บใช้สมุนไพรท้องถิ่นที่หาได้ง่าย เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด รวมกับเนื้อสัตว์ที่มีในท้องถิ่น ทำให้เป็นอาหารที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา

การถนอมอาหารเป็นจุดเด่นของคนอีสาน เนื่องจากมีช่วงฤดูแล้งที่ยาวนาน ทำให้ต้องมีวิธีการเก็บรักษาอาหารไว้กิน เช่น การทำปลาร้า ปลาแห้ง เนื้อหมักดอง หรือแม้แต่การใช้ข้าวคั่วในต้มแซ่บก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้อาหารมีรสชาติเข้มข้นและอิ่มท้องนานขึ้น

ในปัจจุบัน ต้มแซ่บและอาหารอีสานได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไม่เพียงแต่ในไทย แต่ยังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ทางวัฒนธรรมอาหารไทย ร้านอาหารอีสานสามารถพบได้ตั้งแต่ร้านหาบเร่ริมถนน แผงลอย ไปจนถึงร้านอาหารชั้นนำในห้างสรรพสินค้า แสดงให้เห็นถึงการยอมรับและความรักที่ผู้คนมีต่ออาหารอีสาน

การกินต้มแซ่บจึงเป็นมากกว่าการรับประทานอาหาร แต่เป็นการสัมผัสวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของคนอีสานที่ยังคงอนุรักษ์และส่งต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ทิ้งท้าย

ต้มแซ่บ เป็นอาหารอีสานสุดแซ่บที่มีเสน่ห์ด้วยรสชาติที่จัดจ้าน กลมกล่อม และหอมสมุนไพร มีต้นกำเนิดจากการดัดแปลงแกงอ่อมของชาวอีสาน โดยเพิ่มพริกแห้งและข้าวคั่วเพื่อให้มีความหอมและเข้มข้นมากขึ้น ส่วนผสมหลักประกอบด้วยเนื้อสัตว์ สมุนไพร พริก ข้าวคั่ว และเครื่องปรุงรส ที่ทำงานร่วมกันสร้างรสชาติที่สมดุลและน่าลิ้มลอง

การทำต้มแซ่บให้อร่อยต้องใส่ใจในรายละเอียด เลือกวัตถุดิบที่สดและมีคุณภาพ เคี่ยวให้เปื่อยนุ่ม ปรุงรสอย่างสมดุล และเสิร์ฟร้อน ๆ คู่กับข้าวเหนียว มีหลายรูปแบบให้เลือกตามความชอบ ไม่ว่าจะเป็นแบบหมู เนื้อ ไก่ ปลา หรือเครื่องใน แต่ละแบบมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ

นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้ว ต้มแซ่บยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนอีสาน การกินต้มแซ่บเป็นการแบ่งปันและสร้างความสัมพันธ์ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ลองทำต้มแซ่บทานเอง หรือแวะไปลิ้มลองที่ร้านอาหารอีสานใกล้บ้าน จะได้สัมผัสถึงเสน่ห์อันแซ่บซี้ดของอาหารจานนี้ด้วยตัวเอง แล้วอย่าลืมแบ่งปันความอร่อยกับคนที่รัก!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button