ปลาร้า คืออะไร? ประวัติและความเป็นมาของวัตถุดิบอีสาน
- ปลาร้าคือภูมิปัญญาโบราณ เป็นอาหารหมักดองที่มีมามากกว่า 6,000 ปี เกิดจากการถนอมปลาด้วยเกลือและข้าวคั่วหรือรำ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารอีสานและแพร่หลายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยโปรตีน (15.30 กรัมต่อ 100 กรัม) วิตามินบี1 บี2 บี3 ธาตุเหล็ก และมีโปรไบโอติกส์ที่ช่วยการย่อย แต่ต้องระวังเรื่องโซเดียมสูง (5,000-5,800 มก./100 กรัม)
- ต้องปรุงให้สุกก่อนบริโภค ห้ามกินปลาร้าดิบเพราะมีความเสี่ยงต่อพยาธิและเอนไซน์ทำลายวิตามินบี1 ควรต้มให้สุกหรือเลือกแบบพาสเจอร์ไรซ์ และควรกินไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน
- เป็นส่วนสำคัญของอาหารไทย ใช้ปรุงอาหารอีสานหลากหลายเมนู เช่น ส้มตำปูปลาร้า แกงอ่อม หลน และแจ่วฮ้อน ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 1,000 ล้านบาทและมีการส่งออกไปต่างประเทศ
เคยสงสัยไหมว่า เครื่องปรุงรสที่มีกลิ่นเฉพาะตัว แต่กลับทำให้อาหารอีสานอร่อยขึ้นหลายเท่า “ปลาร้า” นั่นเอง เป็นอาหารหมักดองที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมการกินคนไทยจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ยำ แกง หรือน้ำพริก ปลาร้าช่วยเพิ่มรสอูมามิที่เข้มข้น แซ่บนัว จนหลายคนติดใจ
ถึงแม้จะมีกลิ่นที่แรง บางคนอาจบอกว่าคล้ายปลาเน่า แต่ความจริงแล้วปลาร้าไม่ใช่ปลาที่เน่าเสีย หากแต่เป็นผลจากกระบวนการหมักที่ใช้ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยนำปลาสดมาหมักกับเกลือและข้าวคั่วหรือรำข้าว ทิ้งไว้นานหลายเดือนจนเกิดการหมักตามธรรมชาติ ทำให้ได้รสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี และมีวิตามินแร่ธาตุมากมาย
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกมิติของปลาร้า ตั้งแต่ความหมาย ประวัติความเป็นมา วิธีการทำ ประเภทต่าง ๆ คุณค่าทางโภชนาการ ไปจนถึงข้อควรระวังในการบริโภค เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของวัตถุดิบชิ้นนี้ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมานานนับพันปี
ปลาร้า คืออะไร? ทำความรู้จักกับวัตถุดิบอีสานสุดคลาสสิก
ปลาร้า หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า “ปลาแดก” (ปาแดก) คืออาหารหมักดองที่ได้จากการนำปลาสดมาหมักกับเกลือและข้าวคั่วหรือรำข้าว แล้วเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิดเป็นเวลานานอย่างน้อย 4-6 เดือน บางสูตรอาจหมักนานถึง 1 ปีขึ้นไป กระบวนการหมักนี้จะทำให้เกิดการย่อยสลายโปรตีนจากเนื้อปลาโดยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ส่งผลให้ได้รสชาติที่เข้มข้น เค็ม และมีกลิ่นเฉพาะตัว
ชื่อ “ปลาแดก” ในภาษาอีสานนั้นมีที่มาจากคำว่า “แหลก” เพราะปลาที่นำมาทำมักเป็นปลาเล็กปลาน้อย หรือหากเป็นปลาตัวใหญ่ก็จะต้องสับให้แหลกก่อนเพื่อให้เกลือซึมเข้าไปทั่วตัวปลา แต่เนื่องจากชาวอีสานหลายพื้นที่ออกเสียงอักษร ร, ล กับอักษร ด กลับกัน จึงทำให้ “ปลาแหลก” กลายเป็น “ปลาแดก” ในที่สุด
ปลาร้าเป็นมากกว่าแค่เครื่องปรุงรส หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์วัฒนธรรมอาหารไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน จนมีคำกล่าวว่าปลาร้าเป็นหนึ่งใน 5 จิตวิญญาณของความเป็นอีสาน ควบคู่ไปกับข้าวเหนียว ลาบ ส้มตำ และหมอลำ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญของชาวบ้านในถิ่นที่ไม่สามารถหาปลาสดมากินได้ทุกวัน จากการสำรวจพบว่าชาวบ้านในภาคอีสานมีการบริโภคปลาร้าทุกวันถึงร้อยละ 80 โดยกินวันละ 1 ช้อนโต๊ะต่อคน

ประวัติความเป็นมาของปลาร้า ภูมิปัญญาที่มีมามากกว่า 6,000 ปี
ปลาร้ามีต้นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในดินแดนที่วัฒนธรรมมอญ-เขมรเคยผ่านเข้าไป จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบว่าปลาร้าเป็นอาหารของวัฒนธรรมอีสานมานานกว่า 6,000 ปีแล้ว โดยพบวัสดุที่คล้ายกับไหหมักปลาร้าที่พันเชือกเอาไว้เหมือนการหมักในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังพบร่องรอยของกระดูกปลาช่อนและปลาดุกที่ถูกบรรจุอยู่ในภาชนะดินเผาจากแหล่งโบราณคดีโนนวัด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา
การเกิดขึ้นของปลาร้ามีที่มาจากความจำเป็นในการถนอมอาหาร เนื่องจากภูมิภาคนี้อยู่ในเขตมรสุม ช่วงต้นฝนมีน้ำมาก ปลาจึงขึ้นมากตามแก่งต่าง ๆ และตามแม่น้ำลำคลอง ผู้คนจับปลาได้มากเกินกว่าจะกินหมดได้ทัน จึงคิดวิธีนำปลามาใส่เกลือเก็บไว้กินได้ตลอดปี และเมื่อปลาเริ่มมีอาการบวมพองและมีกลิ่น แทนที่จะทิ้ง กลับพบว่ายังกินได้และอร่อยด้วย จนพัฒนากลายเป็นกรรมวิธีทำปลาร้าที่ถูกต้อง
ในอดีต ปลาร้าเป็นที่นิยมไปทั่วเอเชียอาคเนย์ มีกินกันทุกแห่งที่วัฒนธรรมมอญ-เขมรเคยผ่านเข้าไป โดยแต่ละท้องถิ่นจะมีกรรมวิธีการทำที่แตกต่างกัน ทำให้ได้รสชาติและกลิ่นที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ปลาร้าอีสานของไทยมีเอกลักษณ์โดดเด่นจนได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วทุกภาคของประเทศ และยังมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
หลักฐานเก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับปลาร้าในประเทศไทยปรากฏในสมัยอยุธยา โดยลาลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสที่เดินทางมาถึงสยามในปี พ.ศ. 2230 ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการทำปลาหมักของชาวสยาม ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับปลาร้าในปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าปลาร้าเป็นเอกลักษณ์ทางอาหารของคนไทยมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว
ประเภทของปลาร้า หลากหลายรสชาติตามท้องถิ่น
ปลาร้าแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการผลิต ชนิดของปลา และวัตถุดิบที่ใช้หมัก โดยแต่ละประเภทจะมีรสชาติ กลิ่น และสีที่แตกต่างกันไป ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
- ปลาร้าข้าวคั่ว ได้จากการนำปลาหมักกับเกลือร่วมกับข้าวคั่ว เนื้อจะอ่อนนุ่ม สีเหลืองเข้ม และมีกลิ่นหอม ส่วนใหญ่จะใช้ปลาขนาดกลางและใหญ่ เช่น ปลากระดี่ ปลาสลิด ปลาหมอเทศ ปลาดุก ปลาช่อน แหล่งผลิตที่สำคัญอยู่ในจังหวัดทางภาคกลาง เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี สระบุรี ลพบุรี ชัยนาท และนครสวรรค์ การหมักปลาร้าข้าวคั่วใช้อัตราส่วนปลา 4 ส่วนต่อเกลือ 2 ส่วน และหมักทิ้งไว้นาน 6-10 เดือนขึ้นไป ผลที่ได้จะมีสีน้ำตาลแดง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไม่รุนแรง นิยมนำไปทำอาหารประเภทปลาร้าทอด ปลาร้าสับ หรือหลนปลาร้า
- ปลาร้ารำ ได้จากการนำปลามาหมักกับเกลือ ซึ่งประเภทของเกลือที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นเกลือสินเธาว์ แล้วใส่รำหรือรำผสมข้าวคั่ว ผลที่ได้จะมีลักษณะเป็นตัวเนื้อไม่นิ่ม สีคล้ำ และมีกลิ่นแรงกว่าปลาร้าข้าวคั่ว มักใช้ปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาสร้อยดาว ปลาซิว ปลากระดี่ แหล่งผลิตที่สำคัญอยู่ในภาคอีสาน การหมักใช้อัตราส่วนปลา 4 ส่วน ต่อเกลือ 1 ส่วน ต่อรำข้าว 1 ส่วน และมีเวลาในการหมักสั้นประมาณ 4-6 เดือน ปลาร้าที่ได้จะมีสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นแรง เนื้อรสกลมกล่อม นิยมนำมาปรุงอาหารประเภทแกงอ่อม หรือตำน้ำพริกแจ่ว
นอกจากนี้ชาวอีสานยังจำแนกปลาร้าตามคุณภาพของรสและกลิ่น เช่น ปลาแดกหอม ที่มีกลิ่นหอมอ่อน ปลาแดกนัวหรือปลาแดกต่วง ที่มีกลิ่นและรสชาติเข้มข้น และปลาแดกโหน่ง ที่มีกลิ่นแรงมาก การเลือกใช้ปลาร้าแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับเมนูอาหารและความชอบส่วนบุคคล
คุณค่าทางโภชนาการของปลาร้า โปรตีนสูง อุดมวิตามินและแร่ธาตุ
แม้จะมีกลิ่นที่แรง แต่ปลาร้ากลับมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก จัดเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีที่เทียบเท่ากับเนื้อสัตว์อื่น ๆ ในปลาร้า 100 กรัม ให้พลังงาน 148 กิโลแคลอรี มีโปรตีน 15.30 กรัม ไขมัน 8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.90 กรัม ธาตุเหล็ก 3.40 มิลลิกรัม วิตามินบี1 (Thiamine) 0.02 มิลลิกรัม วิตามินบี2 (Riboflavin) 0.16 มิลลิกรัม และวิตามินบี3 (Niacin) 0.80 มิลลิกรัม
การที่เนื้อปลาถูกหมักเป็นเวลานาน ทำให้โปรตีนถูกย่อยเป็นอณูที่เล็กลง ทำให้รับประทานไปแล้วย่อยง่าย ร่างกายสามารถนำโปรตีนไปใช้ได้ดีมากกว่าโปรตีนจากเมนูเนื้อสัตว์ทั่วไป นอกจากนี้ปลาร้ายังมีกรดไขมันดี มีโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด มีโปรไบโอติกส์จากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในกลุ่ม Lactobacillus และ Tetragenococcus ที่ช่วยให้ลำไส้ย่อยอาหารได้ดี มีธาตุเหล็กช่วยบำรุงหัวใจ และเป็นแหล่งรวมของวิตามินเอ วิตามินบี1 และวิตามินบี2
ปลาร้ายังจัดเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่สำคัญสำหรับชาวบ้านในภาคอีสาน โดยเฉพาะในถิ่นที่ไม่สามารถหาปลาสดมากินได้ทุกวัน การบริโภคปลาร้าช่วยเสริมโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกาย แม้ว่าจะต้องระวังเรื่องปริมาณโซเดียมที่สูง แต่หากบริโภคอย่างพอเหมาะก็สามารถได้รับประโยชน์จากคุณค่าทางโภชนาการที่ดีของปลาร้าได้
วิธีการทำปลาร้า ขั้นตอนการหมักแบบดั้งเดิม
การทำปลาร้าแบบดั้งเดิมมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ต้องใช้ความอดทนและการรอคอยเป็นเวลานาน ขั้นตอนหลักมีดังนี้
- ขั้นตอนที่ 1: เตรียมปลา เริ่มจากการเลือกปลาสดที่มีคุณภาพ ปลาที่นิยมใช้ทำปลาร้าได้แก่ ปลากระดี่ ปลาสลิด ปลาหมอเทศ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาสร้อยดาว หรือปลาซิว นำปลามาล้างให้สะอาด ขอดเกล็ดออก หากเป็นปลาตัวใหญ่ให้ผ่าท้องและเอาไส้ออกให้หมด แต่ถ้าเป็นปลาตัวเล็กอาจไม่ต้องผ่าท้องก็ได้ จากนั้นพักปลาไว้บนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
- ขั้นตอนที่ 2: หมักปลาด้วยเกลือ นำปลาที่เตรียมไว้มาคลุกเคล้ากับเกลือ โดยใช้อัตราส่วนปลา 4 กิโลกรัม ต่อเกลือประมาณ 3 กำมือ หรือตามสูตรที่ต้องการ ขั้นตอนนี้สำคัญมาก ต้องเคล้านานจนเกลือละลายแทบหมด ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพื่อให้เกลือซึมเข้าไปทั่วตัวปลา เมื่อเคล้าได้ที่แล้วนำปลาใส่ไหหรือภาชนะ ปิดปากด้วยผ้า แล้วเก็บไว้ประมาณ 10 วัน
- ขั้นตอนที่ 3: เตรียมข้าวคั่วหรือรำ เมื่อครบ 10 วัน นำข้าวเจ้ามาคั่วให้เหลืองหอม หรืออาจใช้รำข้าวก็ได้ แล้วนำมาผสมกับปลาที่หมักไว้ โดยใส่ข้าวคั่วหรือรำในปริมาณที่เหมาะสม คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- ขั้นตอนที่ 4: หมักต่อจนสุก นำปลาที่ผสมข้าวคั่วหรือรำแล้วใส่ลงในไหหรือภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด เก็บไว้ในที่ร่มเย็น หมักต่อเป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 เดือน บางสูตรอาจหมักนาน 1 ปีขึ้นไป ยิ่งหมักนานเท่าไหร่ รสชาติก็จะยิ่งเข้มข้นและอร่อยมากขึ้น
ในบางพื้นที่มีวิธีการหมักปลาร้าโดยไม่ต้องใช้ภาชนะดินเผา ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นวิธีดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุด เพราะมีวิธีการที่ไม่ซับซ้อน อาศัยเพียงสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติของภาคอีสาน โดยเฉพาะเกลือสินเธาว์ซึ่งเป็นผลผลิตที่สำคัญของท้องถิ่นมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ วิธีนี้ช่วยให้การทำปลาร้าง่ายและประหยัดมากขึ้น

การใช้ปลาร้าในอาหารไทย จากครัวอีสานสู่ทั่วประเทศ
ปลาร้าเป็นเครื่องปรุงรสที่ขาดไม่ได้ในอาหารอีสาน ไม่ว่าจะเป็นเมนูใดก็มักมีปลาร้าเป็นส่วนประกอบเพิ่มความแซ่บนัวแบบขาดกันไม่ได้ ความอูมามิแซ่บ ๆ นัว ๆ เมื่อเหยาะปลาร้าลงไปในจานต่าง ๆ ทำให้อาหารมีรสชาติกลมกล่อมและน่าทานยิ่งขึ้น
เมนูอาหารที่นิยมใช้ปลาร้ามีมากมาย เช่น ส้มตำปูปลาร้า ที่เป็นเมนูยอดฮิตและได้รับความนิยมไปทั่วโลก น้ำปลาร้าจะช่วยเพิ่มรสชาติเค็มและอูมามิให้กับส้มตำ ทำให้รสชาติเข้มข้นและแซ่บมากขึ้น นอกจากส้มตำแล้ว ยังมี แกงอ่อม ที่เป็นแกงพื้นบ้านอีสานใช้น้ำปลาร้าปรุงรส หลนปลาร้า ที่นำปลาร้าสับมาต้มกับผักต่าง ๆ น้ำพริกปลาร้า ที่ตำปลาร้ากับพริก กระเทียม หอมแดง ปลาร้าทอด ที่นำปลาร้าไปทอดกรอบ และ แจ่วฮ้อน ซุปเผ็ดร้อนของอีสานที่มีน้ำปลาร้าเป็นส่วนประกอบสำคัญ
ปัจจุบันปลาร้าไม่เพียงจำกัดอยู่ในไหตามครัวเรือนต่างจังหวัดอีกต่อไป แต่ถูกนำมาบรรจุขวด บ้างก็ทำเป็นผง หรือปรุงสำเร็จพร้อมใช้ ส่งปลาร้าไปสู่ชาวไทยในต่างประเทศหรือแม้กระทั่งชาวต่างชาติที่หลงใหลในความแซ่บนัว ตลาดน้ำปลาร้ามีมูลค่าสูงกว่า 1,000 ล้านบาทและตลาดยังเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยมีมูลค่าการส่งออกระหว่างปี 2550-2562 ถึง 87 ล้านตัน มูลค่ากว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท
ข้อควรระวังในการบริโภคปลาร้า ต้องต้มสุกและกินพอเหมาะ
แม้ว่าปลาร้าจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ก็มีข้อควรระวังในการบริโภคเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ประเด็นสำคัญมีดังนี้
- ต้องปรุงให้สุกก่อนบริโภค การกินปลาร้าดิบมีความเสี่ยงหลายประการ ในปลาร้าดิบมีเอนไซน์ไทอามีเนส (Thiaminase) ซึ่งจะทำลายวิตามินบี1 อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเหน็บชาได้ นอกจากนี้ยังอาจมีพยาธิตัวตืดในปลา โดยเฉพาะพยาธิใบไม้ตับซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งท่อน้ำดี ดังนั้นควรต้มปลาร้าให้สุกก่อนทุกครั้ง หรือเลือกซื้อปลาร้าที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์เพื่อฆ่าเชื้อโรคแล้ว
- ระวังปริมาณโซเดียมสูง ปลาร้ามีปริมาณโซเดียมสูงมาก ในปลาร้า 100 กรัม มีโซเดียมประมาณ 5,000-5,800 มิลลิกรัม ขณะที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นไม่ควรบริโภคปลาร้ามากกว่า 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน หากบริโภคเป็นประจำหรือมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดโรคไตเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมอง
- เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ควรเลือกซื้อปลาร้าที่มีแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน และสะอาด หากซื้อแบบบรรจุขวดควรดูเลขสารบบอาหาร (เลข อย.) ปัจจุบันสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้กำหนดมาตรฐานสินค้าปลาร้าทั้งในเรื่องรสชาติ กลิ่น สี และความสะอาด เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย
- กินคู่กับผักสด การรับประทานปลาร้าควรกินคู่กับผักสดหลากหลายชนิด เช่น มะเขือ แตงกวา ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง เป็นต้น เพราะผักจะช่วยเพิ่มเส้นใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ ทำให้ได้รับประโยชน์ทางโภชนาการครบถ้วนมากขึ้น นอกจากนี้ผักยังช่วยลดการดูดซึมโซเดียมได้ระดับหนึ่ง
หากปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ ก็สามารถเพลิดเพลินกับความอร่อยของปลาร้าได้อย่างปลอดภัยและได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ทิ้งท้าย
ปลาร้าเป็นมากกว่าเครื่องปรุงรสธรรมดา หากแต่เป็นภูมิปัญญาการถนอมอาหารที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยมานานนับพันปี จากการเป็นแค่วิธีการเก็บรักษาปลาในสมัยโบราณ ปลาร้าได้กลายเป็นส่วนสำคัญของอาหารอีสานและแพร่หลายไปทั่วประเทศ ด้วยรสชาติที่เข้มข้น แซ่บนัว และคุณค่าทางโภชนาการที่สูง ทำให้ปลาร้าไม่เพียงแต่เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยเท่านั้น แต่ยังเริ่มได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศด้วย
ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมปลาร้ามีมูลค่าตลาดสูงถึงพันล้านบาท และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการผลิตแบบครัวเรือนสู่โรงงานที่ได้มาตรฐาน มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ทั้งแบบพาสเจอร์ไรซ์ ลดโซเดียม และบรรจุพร้อมใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสะดวกสบาย
อย่างไรก็ตาม การบริโภคปลาร้าอย่างปลอดภัยควรคำนึงถึงการปรุงให้สุก การเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และการกินในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากโซเดียมสูง หากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ ก็สามารถเพลิดเพลินกับความอร่อยของปลาร้าได้อย่างเต็มที่พร้อมทั้งได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพ
หากสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอาหารไทยและเมนูที่ใช้ปลาร้า แนะนำให้ลองทำส้มตำหรืออาหารอีสานอื่น ๆ ที่บ้าน หรือแวะไปลิ้มลองที่ร้านอาหารอีสานในละแวกใกล้เคียง เชื่อว่าจะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของวัตถุดิบชิ้นนี้ที่ทำให้อาหารไทยมีรสชาติที่โดดเด่นและน่าประทับใจ








