สังขยา ขนมหวานไทยสุดคลาสสิก ประวัติ ความหมาย และวิธีทำ
- สังขยาเป็นขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากคัสตาร์ดของโปรตุเกส ปรับใช้กะทิแทนนมสดให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย มีส่วนผสมหลักคือไข่ น้ำตาล และกะทิ
- มี 2 ประเภทหลัก คือ สังขยานึ่ง (ทานกับข้าวเหนียวหรือใส่ในฟักทอง) และสังขยาทา (ใช้กวนจนข้นแล้วทาขนมปัง) แต่ละแบบมีรสชาติและวิธีการทำที่แตกต่างกัน
- คำว่า “สังขยา” มาจากภาษามลายู “กายา” (Kaya) หมายถึงร่ำรวย เป็นขนมที่พบเห็นได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- การทำสังขยาเองที่บ้านทำได้ง่าย แค่ใช้วัตถุดิบที่ถูกต้องและปฏิบัติตามขั้นตอน โดยเคล็ดลับสำคัญคือใช้ไข่สด กวนด้วยไฟอ่อน และกรองส่วนผสมก่อนปรุง
เคยสงสัยไหมว่าทำไมสังขยาถึงเป็นขนมที่คนไทยรู้จักกันมานาน และยังคงเป็นที่ชื่นชอบไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นสังขยาฟักทองที่หอมหวานนุ่มละมุน หรือสังขยาใบเตยที่จิ้มกับขนมปังอร่อยถูกปาก ขนมชนิดนี้ไม่เพียงแต่มีรสชาติที่ลงตัว แต่ยังมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ สะท้อนถึงการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกกับตะวันออกอย่างลงตัว
สังขยาเป็นหนึ่งในขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศแต่ถูกดัดแปลงให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเรา วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับสังขยาอย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย ประวัติความเป็นมา ประเภทต่าง ๆ ไปจนถึงวิธีทำที่ง่ายและทำได้เองที่บ้าน พร้อมเคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้ได้สังขยาที่หอม หวาน และอร่อยเหมือนซื้อจากร้าน
สังขยา คืออะไร
สังขยาเป็นของหวานชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมหลักคือ ไข่ น้ำตาล และกะทิ มีลักษณะเนื้อเนียนนุ่ม รสชาติหวานมัน และมักมีกลิ่นหอมจากใบเตย คำว่า “สังขยา” มาจากภาษามลายูว่า “กายา” (Kaya) หรือ “ศรีกายา” (Seri Kaya) ซึ่งแปลว่า “ร่ำรวย” สะท้อนถึงความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ของส่วนผสมที่ใช้
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สังขยาเป็นขนมที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยแต่ละประเทศจะมีวิธีทำและรูปแบบที่แตกต่างกันเล็กน้อย ในไทย สังขยามี 2 ประเภทหลัก ได้แก่ สังขยานึ่ง ที่นิยมทานกับข้าวเหนียวหรือใส่ในฟักทอง และสังขยาทาที่ใช้กวนจนข้นแล้วนำไปทาขนมปังหรือใช้เป็นไส้ขนมปัง ทั้งสองแบบต่างมีเสน่ห์และรสชาติที่โดดเด่นแตกต่างกันไป
สังขยาไม่ได้เป็นแค่ขนมธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินของคนไทยมายาวนาน เป็นขนมที่พบเห็นได้ง่ายตามตลาดนัด ร้านขนม และร้านอาหารทั่วไป บางครอบครัวยังคงสืบทอดสูตรสังขยาโบราณมาจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ขนมชนิดนี้ยังคงมีค่าและความหมายพิเศษในใจคนไทย

ประวัติและที่มาของสังขยา
สังขยาในไทยมีจุดกำเนิดที่น่าสนใจ เชื่อกันว่าได้รับอิทธิพลมาจากชาวโปรตุเกสที่เดินทางมาติดต่อค้าขายกับสยามประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขนมชนิดนี้ปรับมาจาก “คัสตาร์ด” (Custard) ของตะวันตกที่ใช้ไข่ นมสด และน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก
เมื่อคัสตาร์ดเข้ามาสู่สยามประเทศ คนไทยได้ดัดแปลงสูตรให้เหมาะสมกับวัตถุดิบท้องถิ่น เนื่องจากในสมัยนั้นน้ำนมโคไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินของไทย จึงเปลี่ยนมาใช้กะทิซึ่งหาได้ง่ายและเป็นวัตถุดิบที่คนไทยคุ้นเคยแทน การดัดแปลงนี้ทำให้เกิดสังขยาที่มีรสชาติหวานมันเฉพาะตัว แตกต่างจากคัสตาร์ดต้นแบบ
นางมารีกีมาร์ หรือที่รู้จักในนามท้าวทองกีบม้า ซึ่งเป็นภรรยาของฟอลคอน ขุนนางคนสนิทของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีบทบาทสำคัญในการนำขนมของโปรตุเกสเข้ามาดัดแปลงให้เป็นขนมไทย นอกจากสังขยาแล้ว ยังมีขนมอื่น ๆ อีกมากมายที่ได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกส เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมหม้อแกง
สำหรับสังขยาใบเตยที่นิยมใช้ทาขนมปัง แม้จะมีรากฐานมาจากตะวันตก แต่การเติมใบเตยเพื่อให้กลิ่นหอมและสีเขียวธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ ในมาเลเซียและสิงคโปร์ สังขยาใบเตยหรือ “กายา” เป็นอาหารเช้ายอดนิยมที่ทานคู่กับขนมปังปิ้งมานานกว่า 70 ปี

ประเภทของสังขยา
สังขยาในไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามวิธีการปรุงและการรับประทาน แต่ละแบบมีเอกลักษณ์และรสชาติที่แตกต่างกัน
1. สังขยานึ่ง
สังขยานึ่งเป็นสังขยาที่ปรุงด้วยการนึ่งให้สุก มีเนื้อสัมผัสแข็งตัวคล้ายพุดดิ้ง มักนิยมทานกับข้าวเหนียวมูนซึ่งเป็นเมนูคู่กันที่ขาดไม่ได้ หรือใส่ในภาชนะธรรมชาติเช่น ฟักทอง เผือก หรือมะพร้าวแล้วนำไปนึ่ง ส่วนผสมหลักประกอบด้วย ไข่เป็ดหรือไข่ไก่ น้ำตาล และกะทิ บางสูตรอาจเติมใบเตยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและสีสัน
สังขยานึ่งในฟักทอง หรือสังขยาฟักทอง เป็นที่นิยมเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะได้รสหวานมันจากสังขยาแล้ว ยังได้คุณค่าทางโภชนาการจากฟักทองที่อุดมด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน การทำสังขยาฟักทองต้องใช้ความอดทนในการนึ่งด้วยไฟอ่อน ๆ เพื่อไม่ให้ฟักทองแตกและสังขยาสุกสม่ำเสมอ
2. สังขยาทา (สังขยากวน)
สังขยาทาหรือที่เรียกว่า สังขยาใบเตยเมื่อใส่ใบเตย เป็นสังขยาที่ปรุงด้วยวิธีกวนในกระทะด้วยไฟอ่อนจนข้นเหนียว มีเนื้อสัมผัสเนียนละเอียด ใช้ทาขนมปัง ขนมปังปิ้ง หรือปาท่องโก๋ บางสูตรอาจใส่แป้งข้าวโพดเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความข้น แต่สูตรโบราณมักใช้เฉพาะไข่ กะทิ และน้ำตาล
สังขยาใบเตยมีสีเขียวสวยงามจากน้ำใบเตยธรรมชาติ กลิ่นหอมอบอวลเป็นเอกลักษณ์ บางสูตรอาจเพิ่มนมข้นจืดเพื่อให้รสชาติหวานมันมากขึ้น การกวนสังขยาต้องใช้ความพยายามและความอดทนในการคนอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ติดกระทะหรือเป็นก้อน
นอกจากสองประเภทหลักนี้แล้ว ยังมีสังขยาชาเย็น ที่ผสมชาเข้าไปแทนหรือเพิ่มเติมจากใบเตย ทำให้ได้สีน้ำตาลและกลิ่นหอมของชา รวมถึงสังขยามะพร้าวอ่อนที่ใส่สังขยาในกะลามะพร้าวอ่อนแล้วนึ่ง เป็นที่นิยมในหมู่เด็ก ๆ
วิธีทำสังขยาแบบโบราณ
การทำสังขยาเองที่บ้านไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่มีวัตถุดิบที่ถูกต้องและทำตามขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน ก็จะได้สังขยาที่หอม หวาน และอร่อยเหมือนซื้อจากร้าน
สูตรสังขยาฟักทอง (สังขยานึ่ง)
ส่วนผสม:
- ฟักทองขนาดกลาง 1 ลูก (ควรเลือกฟักทองที่สุกพอเหมาะ เนื้อแน่น)
- ไข่เป็ด 3-4 ฟอง (หรือไข่ไก่ 5-6 ฟอง)
- น้ำตาลมะพร้าว 150 กรัม (หรือน้ำตาลปึก 3-4 ก้อน)
- หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
- ใบเตย 3-4 ใบ (ล้างสะอาดแล้วผูกเป็นปม)
วิธีทำ:
- ล้างฟักทองให้สะอาด ตัดส่วนบนออกประมาณ 1 ใน 3 เพื่อใช้เป็นฝาปิด ขูดเมล็ดและเยื่อในฟักทองออกให้สะอาด
- ตีไข่เป็ดให้ขึ้นฟอง ใส่น้ำตาลมะพร้าวคนให้ละลาย ค่อย ๆ เติมหัวกะทิลงไปคนให้เข้ากัน
- กรองส่วนผสมผ่านผ้าขาวบางหรือตะแกรงละเอียดเพื่อกำจัดฟอง เพิ่มใบเตยลงไปในส่วนผสม
- เทส่วนผสมสังขยาลงในฟักทองที่เตรียมไว้ ระวังอย่าให้เต็มเกินไปเพื่อป้องกันล้น ปิดฝาฟักทอง
- นำไปนึ่งด้วยไฟอ่อนประมาณ 30-45 นาที หรือจนกว่าสังขยาจะสุกและแข็งตัว ควรตรวจสอบบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ฟักทองแตก
- เมื่อสุกแล้วยกลง พักให้เย็นก่อนตัดเป็นชิ้นเสิร์ฟ
สูตรสังขยาใบเตย (สังขยาทา)
ส่วนผสม:
- ไข่แดง 8-10 ฟอง
- น้ำตาลมะพร้าว 200 กรัม (หรือน้ำตาลทราย 150 กรัม)
- หัวกะทิ 1 ถ้วย
- ใบเตย 10-12 ใบ (ล้างสะอาด)
- แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าต้องการความข้น)
- นมข้นจืด 1/2 ถ้วย (เสริมความมัน)
วิธีทำ:
- ปั่นใบเตยกับกะทิให้ละเอียด กรองเอาเฉพาะน้ำใบเตยสีเขียวสด
- ตีไข่แดงให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลคนจนละลาย เติมนมข้นจืดและแป้งข้าวโพด (ถ้าใช้) คนให้เข้ากัน
- ผสมน้ำใบเตยลงในส่วนผสมไข่ กรองอีกครั้งเพื่อกำจัดก้อนหรือเศษใบเตย
- ตั้งกระทะบนเตาไฟอ่อนมาก เทส่วนผสมลงไป เริ่มกวนอย่างต่อเนื่องด้วยพายไม้หรือช้อนไม้
- กวนไปเรื่อย ๆ ประมาณ 15-20 นาที สังขยาจะเริ่มข้นขึ้น ถ้าร้อนเกินไปให้ยกหม้อขึ้นพักบ้าง แล้วกวนต่อเพื่อไม่ให้สังขยาสุกจนแข็งหรือเป็นก้อน
- เมื่อสังขยาข้นเหนียวและเริ่มหนืดที่พายแล้ว ยกลงตั้งกวนต่อในชามน้ำแข็งเพื่อหยุดการสุกจากความร้อนที่เหลือ
- ตักใส่ภาชนะ พักให้เย็นก่อนเก็บในตู้เย็น
เคล็ดลับสำคัญในการทำสังขยา:
- ใช้ไข่สดใหม่เพื่อให้สังขยามีเนื้อเนียนและไม่คาว
- กวนด้วยไฟอ่อนตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ติดกระทะหรือสุกจนแข็ง
- กรองส่วนผสมก่อนนึ่งหรือกวนเพื่อกำจัดฟองและเศษต่าง ๆ ทำให้เนื้อสังขยาเนียนสม่ำเสมอ
- สำหรับสังขยาฟักทอง ควรเลือกฟักทองที่มีเนื้อหนาและแน่น เพื่อไม่ให้แตกง่ายขณะนึ่ง
- สำหรับสังขยาใบเตย ควรกวนอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เพื่อไม่ให้สังขยาติดก้นกระทะ
ทิ้งท้าย
สังขยาเป็นมากกว่าแค่ขนมหวานธรรมดา เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างตะวันตกและตะวันออก การดัดแปลงคัสตาร์ดของโปรตุเกสมาเป็นสังขยาไทยแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และความยืดหยุ่นในการรับวัฒนธรรมใหม่ของคนไทยในอดีต ปัจจุบันสังขยายังคงเป็นที่นิยมและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย
ไม่ว่าจะเป็นสังขยาฟักทองที่นุ่มละมุนหรือสังขยาใบเตยที่หอมหวาน ขนมชนิดนี้ล้วนมีเสน่ห์ที่ทำให้คนรักมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การทำสังขยาเองที่บ้านไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่มีความตั้งใจและทำตามขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน ก็จะได้สังขยาที่อร่อยไม่แพ้ซื้อจากร้าน ลองนำสูตรที่แนะนำไปทำดูสิ รับรองว่าทั้งครอบครัวจะประทับใจและขอเพิ่ม!
หากชอบเนื้อหานี้ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกับสังขยามากขึ้น และอย่าลืมแวะมาอ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับสูตรขนมและอาหารว่างไทยอีกมากมายที่เว็บไซต์ของเรา!






![[Review] Tealism Cafe ณ อุบลราชธานี #8 [Review] Tealism Cafe ณ อุบลราชธานี](https://www.aroimak.co/wp-content/uploads/2021/01/Tealism-Cover-390x220.jpg)


