กาแฟโบราณ เครื่องดื่มไทยต้นตำรับ ประวัติและวิธีทำ
- กาแฟโบราณ คือเมล็ดกาแฟคั่วผสมธัญพืช เช่น ข้าวโพด งา เม็ดมะขาม และเครื่องปรุงอย่างน้ำตาล เกลือ ทำให้มีรสชาติเข้มข้น หอมเฉพาะตัว และราคาประหยัดกว่ากาแฟสด
- ประวัติของกาแฟโบราณ เริ่มในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนและตะวันตก คนไทยปรับสูตรโดยเติมธัญพืชท้องถิ่นเพื่อลดต้นทุนและสร้างรสชาติใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์
- วิธีชงแบบดั้งเดิม ใช้ถุงกรองชา เทน้ำร้อน แล้วกรองสลับไปมา 3-6 รอบเพื่อสกัดรสชาติและสร้างฟองละเอียด สามารถทำเมนูหลากหลายเช่น โอเลี้ยง โอยัวะ กาแฟจ้ำบ๊ะ
- ความแตกต่างจากกาแฟสด อยู่ที่ส่วนผสม กระบวนการคั่ว วิธีการชง และราคา โดยกาแฟโบราณเน้นความเรียบง่ายและประหยัด ขณะที่กาแฟสดเน้นคุณภาพและความซับซ้อนของรสชาติ
เคยสงสัยไหมว่าเครื่องดื่มที่เรียกว่า “กาแฟโบราณ” นั้นมีที่มาอย่างไร? ทำไมถึงได้ชื่อว่าโบราณและแตกต่างจากกาแฟสดทั่วไปอย่างไร เมื่อพูดถึงกาแฟสไตล์ไทยแล้ว หลายคนคงนึกถึงโอเลี้ยงเย็นๆ หอมกรุ่น หรือกาแฟถุงกรองที่ชงด้วยถุงผ้าสีน้ำตาลแล้วกรองสลับไปมาจนได้น้ำกาแฟสีเข้มเป็นมันวาว นี่คือเสน่ห์ของ กาแฟโบราณ ที่ยังคงครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน
กาแฟโบราณ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องดื่มธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการดื่มกาแฟแบบไทยๆ ที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยรสชาติที่เข้มข้น หอมกลิ่นไหม้อ่อนๆ และความหวานมันที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้กาแฟชนิดนี้แตกต่างจากกาแฟสดที่ใช้เมล็ดกาแฟบริสุทธิ์ 100% บทความนี้จะพาไปรู้จักกับประวัติความเป็นมาของกาแฟโบราณ ส่วนผสมที่ทำให้มีรสชาติพิเศษ และวิธีการชงแบบดั้งเดิมที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน
กาแฟโบราณ คืออะไร
กาแฟโบราณ คือเมล็ดกาแฟที่นำมาคั่วผสมกับธัญพืชชนิดต่างๆ และเครื่องปรุงเพื่อให้ได้กลิ่นหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ต่างจากกาแฟสดที่ใช้เมล็ดกาแฟคั่วล้วนๆ กาแฟโบราณจึงมีรสชาติที่ซับซ้อนและหลากหลายกว่า ส่วนผสมหลักที่ทำให้กาแฟโบราณมีความพิเศษ ได้แก่ เมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ให้รสเข้มข้นและจัดจ้าน ธัญพืชต่างๆ อย่างข้าวโพด งา เม็ดมะขาม ข้าวกล้อง และถั่วเหลือง รวมถึงเครื่องปรุงอย่างน้ำตาล เกลือ และเนย
การผสมธัญพืชเหล่านี้ลงไปไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการผลิตเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความหอม สร้างความกลมกล่อม และให้รสชาติที่ไม่เหมือนกาแฟสดทั่วไป กระบวนการคั่วของ กาแฟโบราณ จะคั่วเข้มเป็นพิเศษเพื่อให้ได้กลิ่นหอมไหม้ที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาติที่เข้มข้นจัดจ้าน ทำให้เวลาชงด้วยน้ำร้อนแล้วจะได้น้ำกาแฟสีน้ำตาลเข้มเป็นมัน ความหอมกรุ่นแต่ไม่จัดจ้านเกินไป รสชาติกลมกล่อมและสามารถคู่กับนมข้นหวานหรือนมจืดได้อย่างลงตัว
เมื่อเปรียบเทียบกับกาแฟสดแล้ว กาแฟโบราณ มีวิธีการชงที่ง่ายกว่ามาก ไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษหรือเครื่องชงกาแฟราคาแพง แค่มีผงกาแฟโบราณ ถุงกรองชา และน้ำร้อนก็สามารถชงดื่มได้แล้ว ความเรียบง่ายนี้ทำให้กาแฟโบราณกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่ขายได้ตั้งแต่รถเข็นข้างถนนไปจนถึงร้านกาแฟสมัยใหม่ หากสนใจสำรวจร้านกาแฟที่เสิร์ฟเมนูนี้ ลองแวะไปร้านกาแฟโบราณมงคล ที่เปิดมานานกว่า 8 ปี

ประวัติความเป็นมาของกาแฟโบราณ
กาแฟโบราณ ของไทยมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของจีนและตะวันตกในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อประมาณศตวรรษที่ 18-19 การค้าขายระหว่างประเทศทำให้กาแฟเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางพ่อค้าจีนและชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาทำการค้า
ในช่วงแรกเริ่มนั้น กาแฟเป็นเครื่องดื่มหรูหราที่นิยมดื่มในหมู่ชนชั้นสูงและพ่อค้าเท่านั้น เนื่องจากเมล็ดกาแฟมีราคาแพงและหายากในสมัยนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาวบ้านไทยเริ่มคิดค้นวิธีการปรับสูตรให้เหมาะสมกับวัตถุดิบท้องถิ่นและลดต้นทุนลง จึงเกิดการนำธัญพืชต่างๆ อย่างข้าวโพด งา และเม็ดมะขามมาคั่วผสมกับเมล็ดกาแฟ การปรับเปลี่ยนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนเท่านั้น แต่ยังสร้างรสชาติใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์และเข้ากับรสนิยมของคนไทย
ต่อมากาแฟโบราณได้แพร่หลายสู่ประชาชนทั่วไปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานและชาวบ้านที่ต้องการเครื่องดื่มที่ให้พลังงานแต่ราคาไม่แพง ร้านกาแฟเล็กๆ เริ่มเกิดขึ้นตามตรอกซอกซอย ตลาด และบริเวณท่าเรือ โดยส่วนใหญ่เป็นร้านของชาวจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนที่ขายกาแฟโบราณคู่กับขนมจีบ ปาท่องโก๋ และอาหารเช้าแบบจีน
วัฒนธรรมการชงกาแฟโบราณ ในสมัยก่อนมีลักษณะเฉพาะคือการใช้ถุงผ้ากรองแบบดั้งเดิม โดยผงกาแฟจะถูกใส่ในถุงผ้าสีน้ำตาล เทน้ำร้อนลงไปแล้วกรองสลับไปมาระหว่างสองใบหลายรอบเพื่อให้น้ำกาแฟมีความเข้มข้นและเกิดฟองละเอียด กระบวนการนี้ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์เพราะการสลับไปมาต้องทำอย่างถูกวิธีจึงจะได้กาแฟที่หอม เข้มข้น และมีฟองสวยงาม
ปัจจุบัน กาแฟโบราณ ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องแม้จะมีกาแฟสมัยใหม่หลากหลายยี่ห้อเข้ามา เพราะรสชาติที่คุ้นเคยและเป็นเอกลักษณ์ ราคาที่เข้าถึงได้ และความเรียบง่ายในการชงทำให้กาแฟโบราณยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหลายคน นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟสมัยใหม่หลายแห่งที่นำ กาแฟโบราณ มาปรับใช้สร้างเมนูใหม่ๆ เช่น กาแฟโบราณลาเต้ โอเลี้ยงปั่น หรือกาแฟโบราณเอสเพรสโซ่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคใหม่
ส่วนผสมและเอกลักษณ์ของกาแฟโบราณ
ความพิเศษของ กาแฟโบราณ อยู่ที่ส่วนผสมที่หลากหลายซึ่งแตกต่างจากกาแฟสดทั่วไป เมล็ดกาแฟที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) เนื่องจากให้รสชาติเข้มข้น จัดจ้าน มีคาเฟอีนสูง และราคาถูกกว่าพันธุ์อาราบิก้า ทำให้เหมาะสำหรับการผลิตกาแฟโบราณที่ต้องการความเข้มข้นและราคาประหยัด
ธัญพืชที่นิยมนำมาคั่วผสมกับเมล็ดกาแฟมีหลากหลายชนิด ได้แก่ ข้าวโพด ที่ช่วยเพิ่มความหวานธรรมชาติและสีทองสวยงาม งา ที่ให้กลิ่นหอมและความมันเนียน เม็ดมะขาม ที่ช่วยสร้างสีเข้มและความกลมกล่อม ข้าวกล้อง ที่เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ และ ถั่วเหลือง ที่ให้โปรตีนและความหอมเพิ่มเติม อัตราส่วนของธัญพืชแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไปในแต่ละสูตรและแต่ละภูมิภาค บางที่อาจเน้นข้าวโพดมากเพื่อความหวาน บางที่อาจใส่งาเยอะเพื่อความหอม
นอกจากธัญพืชแล้ว เครื่องปรุง ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างรสชาติของกาแฟโบราณ น้ำตาล จะถูกเติมระหว่างการคั่วเพื่อให้เกิดการคาราเมลไลซ์ สร้างสีเข้มและความหวานมันที่เป็นเอกลักษณ์ เกลือ เล็กน้อยช่วยชูรสและลดความขมของกาแฟ ทำให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น บางสูตรอาจเติม เนย เพื่อเพิ่มความหอมและความมันเนียนให้กับกาแฟ การใส่เครื่องปรุงเหล่านี้ต้องทำอย่างพอดีเพราะถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้รสชาติไม่สมดุล
เอกลักษณ์ของรสชาติ ที่ได้จากส่วนผสมเหล่านี้คือความเข้มข้นที่สูง หอมกลิ่นไหม้อ่อนๆ จากการคั่วเข้ม มีความหวานมันที่เป็นธรรมชาติจากธัญพืชและน้ำตาลคาราเมล และมีบอดี้ที่หนักแน่น ทำให้กาแฟโบราณสามารถคู่กับนมข้นหวานหรือนมจืดได้อย่างลงตัว โดยรสชาติของกาแฟจะไม่สู้รสชาติของนม และยังคงความหอมเฉพาะตัวอย่างชัดเจน สีของน้ำกาแฟจะเป็นน้ำตาลเข้มเป็นมัน มีฟองละเอียดเกาะขอบแก้วหากชงถูกวิธี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกาแฟโบราณคุณภาพดี
ปัจจุบันมี ผงกาแฟโบราณสำเร็จรูป หลายยี่ห้อจำหน่ายในท้องตลาด ทั้งแบบผงบริสุทธิ์ที่ต้องชงเองและแบบสำเร็จรูปที่ผสมน้ำตาลและนมเรียบร้อยแล้ว ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100-130 บาทต่อกิโลกรัม ถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่ราคาประหยัดและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน
วิธีทำและวิธีชงกาแฟโบราณแบบดั้งเดิม
การชง กาแฟโบราณ แบบดั้งเดิมไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แต่ต้องใส่ใจในรายละเอียดเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด อุปกรณ์ที่ต้องใช้มีเพียงไม่กี่อย่าง ได้แก่ ผงกาแฟโบราณ ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะต่อแก้ว ถุงกรองชา หรือถุงผ้ากรองกาแฟแบบดั้งเดิม น้ำร้อนเดือด ประมาณ 150-200 มิลลิลิตร และ แก้วสำหรับชง 2 ใบ
ขั้นตอนการชงกาแฟโบราณแบบดั้งเดิม เริ่มจากการนำผงกาแฟโบราณใส่ในถุงกรองชา จากนั้นเทน้ำร้อนเดือดลงไปในแก้วที่ใส่ถุงกรองไว้ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาทีเพื่อให้น้ำร้อนสกัดรสชาติออกมาจากผงกาแฟ ขั้นตอนต่อมาเป็นส่วนสำคัญที่สร้างเอกลักษณ์ของกาแฟโบราณคือการกรองสลับไปมา โดยนำแก้วอีกใบหนึ่งมาวางไว้ แล้วเทน้ำกาแฟผ่านถุงกรองไปยังแก้วใหม่ จากนั้นเทกลับไปมาระหว่างสองแก้วประมาณ 3-6 รอบ
การสลับแก้วไปมา นี้มีจุดประสงค์หลายอย่าง ประการแรกคือช่วยให้กาแฟสกัดออกมาได้เต็มที่และรสชาติเข้มข้นขึ้น ประการที่สองคือช่วยลดอุณหภูมิของกาแฟให้พอเหมาะสำหรับการดื่ม และประการสุดท้ายคือช่วยสร้างฟองละเอียดที่สวยงามบนผิวหน้าของกาแฟ การเทต้องทำอย่างมั่นใจและสม่ำเสมอ ยกแก้วสูงพอสมควรเพื่อให้เกิดแรงกระแทกที่ช่วยสร้างฟอง แต่ไม่สูงเกินไปจนน้ำกาแฟกระเด็น
หากต้องการชง โอเลี้ยง ซึ่งเป็นเมนูกาแฟโบราณยอดนิยม ให้เตรียมนมข้นหวานประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะใส่ในแก้ว จากนั้นเทกาแฟดำที่ชงเสร็จแล้วลงไปในแก้วที่มีนมข้นหวาน คนให้เข้ากันเล็กน้อย ใส่น้ำแข็งจนเต็มแก้ว จะได้โอเลี้ยงเย็นที่หวานกลมกล่อม หอมกาแฟ และสดชื่น บางคนชอบเติมนมข้นจืดเพิ่มอีก 1-2 ช้อนโต๊ะเพื่อให้มีรสชาติครีมมี่มากขึ้น
สำหรับเมนูอื่นๆ เช่น โอยัวะ ให้ใส่ไข่แดงสด 1 ฟอง และน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนชาลงในแก้ว ตีจนขึ้นฟู แล้วเทกาแฟร้อนลงไปผสม จะได้เครื่องดื่มที่มีเนื้อสัมผัสครีมมี่และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง หรือหากต้องการทำ กาแฟจ้ำบ๊ะ ให้ใช้กาแฟเข้มข้นผสมกับน้ำตาลเยอะๆ และน้ำแข็งบด จะได้เครื่องดื่มแบบอีสานที่หวานจัดและเย็นฉ่ำ
เคล็ดลับสำหรับการชงกาแฟโบราณ ที่อร่อยคือต้องใช้น้ำที่เดือดจริงๆ ไม่ใช่แค่ร้อน เพราะน้ำเดือดจะสกัดรสชาติได้ดีกว่า อัตราส่วนผงกาแฟต่อน้ำควรอยู่ที่ประมาณ 1:50 ถึง 1:70 ขึ้นอยู่กับว่าชอบความเข้มข้นแค่ไหน และควรชงดื่มทันทีหลังจากชงเสร็จไม่นาน เพราะถ้าทิ้งไว้นานรสชาติจะเปลี่ยนไป การเก็บรักษาผงกาแฟโบราณควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อรักษากลิ่นหอมและป้องกันความชื้น
เมนูกาแฟโบราณยอดนิยม
นอกจากการดื่มกาแฟโบราณแบบดำแล้ว ยังมีเมนูหลากหลายที่พัฒนามาจากกาแฟโบราณซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โอเลี้ยง เป็นเมนูที่โด่งดังที่สุด โดยเป็นกาแฟโบราณดำผสมกับนมข้นหวานและน้ำแข็ง มีรสชาติหวานกลมกล่อม หอมกาแฟ เหมาะสำหรับคนที่ชอบความหวานและไม่ชอบความขมของกาแฟมากเกินไป ราคาขายโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 15-30 บาทต่อแก้ว ถือเป็นเครื่องดื่มที่ทุกคนซื้อหาดื่มได้ง่าย
โอเลี้ยงยกล้อ เป็นโอเลี้ยงแต่ไม่ใส่น้ำแข็ง โดยจะเพิ่มปริมาณนมข้นหวานและนมข้นจืดมากขึ้น เสิร์ฟในแก้วทรงสูงหรือถ้วยกาแฟ เมนูนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟร้อนหรือคนที่ไม่ต้องการน้ำแข็งเจือจาง รสชาติจะเข้มข้นและครีมมี่กว่าโอเลี้ยงธรรมดา เป็นเมนูที่นิยมดื่มในตอนเช้าคู่กับอาหารเช้าแบบไทยหรือจีน เช่น ปาท่องโก๋ ขนมจีบ หรือข้าวต้ม
โอยัวะ เป็นเมนูพิเศษที่ผสมกาแฟโบราณร้อนกับไข่แดงสดและน้ำตาล โดยจะตีไข่แดงกับน้ำตาลจนขึ้นฟูก่อน แล้วเทกาแฟร้อนลงไปค่อยๆ เมนูนี้มีเนื้อสัมผัสครีมมี่ละมุน หอมไข่ปนกลิ่นกาแฟ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงจากไข่แดง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพลังงานเพิ่มเติมหรือคนที่ชอบเครื่องดื่มที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้น ราคาโดยทั่วไปจะแพงกว่าโอเลี้ยงเล็กน้อยเนื่องจากมีต้นทุนจากไข่
โกปิ๊ หรือกาแฟสดถุงเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ แต่ก็มีขายในไทยเช่นกัน โกปิ๊คือกาแฟโบราณที่ชงแล้วใส่นมข้นหวานและเทใส่ถุงพลาสติกพร้อมหลอด เหมาะสำหรับการซื้อไปดื่มระหว่างเดินทาง รสชาติจะคล้ายโอเลี้ยงแต่อาจจะหวานกว่าเล็กน้อย
กาแฟดำโบราณ เป็นเมนูสำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟแบบไม่ผสมอะไร เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟโบราณแท้ๆ โดยไม่มีความหวานจากนมหรือน้ำตาล เมนูนี้จะเน้นความเข้มข้นและความหอมของกาแฟเป็นหลัก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคาเฟอีนสูงและชอบรสชาติจัดจ้านของกาแฟ บางคนอาจเติมน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อลดความขมแต่ก็ยังคงรสชาติของกาแฟไว้เป็นหลัก
ปัจจุบันร้านกาแฟสมัยใหม่หลายแห่งได้นำ กาแฟโบราณ มาประยุกต์สร้างเมนูใหม่ๆ เช่น กาแฟโบราณลาเต้ โอเลี้ยงปั่น กาแฟโบราณแฟรปเป้ เพื่อดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่ที่ต้องการเครื่องดื่มที่ทันสมัยแต่ยังคงรสชาติแบบดั้งเดิม เมนูเหล่านี้ช่วยทำให้ กาแฟโบราณ ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลาแต่กลับได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่
ความแตกต่างระหว่างกาแฟโบราณกับกาแฟสด
หลายคนอาจสงสัยว่า กาแฟโบราณ แตกต่างจากกาแฟสดอย่างไร นอกจากส่วนผสมที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีความแตกต่างในหลายด้าน ส่วนผสมหลัก ของกาแฟสดจะเป็นเมล็ดกาแฟบริสุทธิ์ 100% โดยไม่ผสมธัญพืชหรือเครื่องปรุงอื่นๆ ขณะที่กาแฟโบราณจะมีธัญพืชและเครื่องปรุงผสมอยู่ด้วย ทำให้รสชาติและกลิ่นแตกต่างกันอย่างชัดเจน
กระบวนการคั่ว ของกาแฟสดจะมีการควบคุมระดับการคั่วอย่างละเอียดเพื่อให้ได้โปรไฟล์รสชาติที่ต้องการ อาจจะเป็นการคั่วอ่อน คั่วกลาง หรือคั่วเข้ม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์กาแฟและรสชาติที่ต้องการนำเสนอ ในขณะที่ กาแฟโบราณ จะคั่วเข้มเกือบทุกครั้งเพื่อให้ได้กลิ่นหอมไหม้และสีเข้มที่เป็นเอกลักษณ์ การคั่วเข้มนี้ยังช่วยให้ส่วนผสมต่างๆ หลอมรวมกันได้ดีและสร้างความกลมกล่อม
วิธีการชง ก็แตกต่างกันมาก กาแฟสดปกติจะชงด้วยเครื่องชงกาแฟสมัยใหม่ เช่น เครื่องเอสเพรสโซ่ เครื่องดริป หรือเครื่องเฟรนช์เพรส ซึ่งต้องใช้เทคนิคและอุณหภูมิที่เฉพาะเจาะจง ขณะที่ กาแฟโบราณ ชงง่ายด้วยถุงกรองและน้ำร้อน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรือความชำนาญมาก ความเรียบง่ายนี้ทำให้กาแฟโบราณเข้าถึงได้ง่ายกว่าสำหรับคนทั่วไป
รสชาติและกลิ่น ของกาแฟสดจะมีความซับซ้อนและหลากหลายมากกว่า อาจมีโน้ตรสผลไม้ ดอกไม้ ช็อกโกแลต หรือคาราเมลขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และแหล่งปลูก ความขมจะนุ่มนวลกว่าและมีความเปรี้ยวเล็กน้อยจากกรดในกาแฟ ในขณะที่ กาแฟโบราณ จะมีรสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นไหม้ มีความหวานมันจากธัญพืชและน้ำตาล และความขมที่ลดลงเนื่องจากการเติมเกลือ รสชาติจะตรงไปตรงมาและคุ้นเคยมากกว่า
ราคาและความคุ้มค่า เป็นอีกจุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน กาแฟสดคุณภาพดีมักมีราคาแพง โดยเฉพาะกาแฟสเปเชียลตี้ที่อาจมีราคาหลายร้อยบาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ ผงกาแฟโบราณ มีราคาเพียง 100-130 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เป็นตัวเลือกที่ประหยัดและเหมาะสำหรับการดื่มเป็นประจำหรือนำไปขายในร้านเล็กๆ
ทั้งสองประเภทของกาแฟมีข้อดีและเอกลักษณ์ของตัวเอง การเลือกดื่มขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล บางคนชอบความซับซ้อนและคุณภาพของกาแฟสด บางคนชอบความคุ้นเคยและราคาประหยัดของ กาแฟโบราณ ไม่มีคำตอบที่ว่าอันไหนดีกว่าอันไหน แต่ทั้งคู่ต่างมีคุณค่าและบทบาทในวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของไทย
ทิ้งท้าย
กาแฟโบราณ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทยที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ด้วยประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนและตะวันตก ผสมผสานกับภูมิปัญญาไทยในการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างธัญพืชต่างๆ มาสร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รสชาติที่เข้มข้น หอมกลิ่นไหม้ กลมกล่อม และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้กาแฟโบราณกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยมาอย่างยาวนาน
การชง กาแฟโบราณ แบบดั้งเดิมไม่ได้ยุ่งยากแต่ต้องใส่ใจในรายละเอียด โดยเฉพาะการกรองสลับไปมาระหว่างสองแก้วซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญในการสร้างรสชาติและฟองที่สวยงาม เมนูที่พัฒนามาจากกาแฟโบราณอย่างโอเลี้ยง โอยัวะ หรือกาแฟจ้ำบ๊ะ ล้วนเป็นเครื่องดื่มที่คนไทยคุ้นเคยและชื่นชอบมาโดยตลอด ปัจจุบันยังมีร้านกาแฟสมัยใหม่นำ กาแฟโบราณ มาประยุกต์สร้างเมนูใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่ ทำให้เครื่องดื่มแบบดั้งเดิมนี้ยังคงมีชีวิตและพัฒนาต่อไปตามกาลเวลา
หากยังไม่เคยลองชง กาแฟโบราณ ดื่มเอง ลองหาซื้อผงกาแฟโบราณมาลองชงดูตามวิธีที่แนะนำในบทความนี้ หรือแวะไปที่ร้านกาแฟโบราณใกล้บ้านเพื่อสัมผัสกับรสชาติแท้ๆ ของกาแฟสไตล์ไทย บอกได้เลยว่าเมื่อได้ลองแล้วจะหลงรักในกลิ่นหอมและรสชาติที่คุ้นเคยแต่ยังคงความพิเศษของ กาแฟโบราณ อย่างแน่นอน





