อาหารและเครื่องดื่ม

ผัดกะเพรา คืออะไร? เจาะลึกประวัติและต้นกำเนิดเมนูโปรดคนไทย

  • ผัดกะเพราเริ่มนิยมในช่วงประมาณ พ.ศ. 2490-2500 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม และได้รับการบรรจุเป็นหนึ่งในเมนูประจำชาติไทย
  • มีหลักฐานการใช้ใบกะเพราในไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2230 จากจดหมายเหตุของมองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์
  • สูตรต้นตำรับใช้เต้าเจี้ยวดำและน้ำตาลปี๊บเป็นเครื่องปรุงหลัก ไม่ใส่ถั่วฝักยาว และดัดแปลงมาจากอาหารจีน
  • ได้รับการจัดอันดับเป็นอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 3 ของโลกจาก TasteAtlas ในปี 2566

เคยสงสัยไหมว่าทำไมผัดกะเพราถึงกลายเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมสูงสุดของร้านอาหารตามสั่งทั่วประเทศ? เมนูที่หลายคนมักเรียกว่า “เมนูสิ้นคิด” หรือ “เมนูกันตาย” นี้ไม่ได้เป็นแค่อาหารธรรมดา แต่เป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมการกินที่ผ่านการดัดแปลง พัฒนา และฝังรากลึกเข้าไปในวิถีชีวิตคนไทยมากว่า 70 ปี จนในปี 2566 เมนูนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 3 ของโลกจาก TasteAtlas

แม้ว่าเมนูนี้จะดูเรียบง่าย ประกอบด้วยเนื้อสัตว์สับ ใบกะเพราหอมๆ พริก กระเทียม และเครื่องปรุงพื้นฐาน แต่ความเป็นมาของผัดกะเพรากลับมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่าที่คิด ตั้งแต่ต้นกำเนิดที่ถกเถียงกันว่ามาจากอาหารจีน ไปจนถึงการได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเมนูประจำชาติไทยในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม

บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติความเป็นมาของเมนูดังนี้อย่างละเอียด ตั้งแต่การค้นพบใบกะเพรา ต้นกำเนิดของเมนู วิวัฒนาการการปรุง ไปจนถึงคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพ มาเริ่มต้นการเดินทางย้อนเวลาไปพบกับรากเหง้าของเมนูยอดฮิตที่ทุกคนรู้จักกันดี

ผัดกะเพรา คืออะไร?

ผัดกะเพราเป็นอาหารไทยประเภทผัดที่มีใบกะเพราเป็นส่วนประกอบหลัก โดยนำเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น หมูสับ ไก่สับ เนื้อวัว หรือทะเลสด มาผัดร่วมกับพริก กระเทียม และใบกะเพราสด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และซอสปรุงรสต่างๆ ตามสูตรของแต่ละร้าน เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และไข่ดาวกรอบๆ เป็นอาหารจานเดียวที่ครบถ้วนทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และผัก

เมนูนี้มีเอกลักษณ์เด่นที่กลิ่นหอมฉุนของใบกะเพรา ความเผ็ดร้อนจากพริก และรสชาติที่กลมกล่อมจากการผสมผสานระหว่างเค็ม หวาน และเผ็ด ส่วนที่ขาดไม่ได้คือสามเกลอ ประกอบด้วย กระเทียม พริก และรากผักชี ที่ช่วยเพิ่มความหอมและรสชาติให้กับอาหาร

วัตถุดิบหลักของผัดกะเพราประกอบด้วยเนื้อสัตว์สดที่หั่นเป็นชิ้นเล็กหรือสับหยาบ ใบกะเพราสดที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ พริกขี้หนูสดหรือพริกชี้ฟ้า กระเทียม และเครื่องปรุงรส บางสูตรอาจเพิ่มผักอื่นๆ เช่น ถั่วฝักยาว ข้าวโพดอ่อน หรือพริกหยวก แต่ในสูตรดั้งเดิมนั้นจะเน้นความเรียบง่าย โดยใช้เพียงส่วนประกอบพื้นฐานเท่านั้น

ความโดดเด่นของเมนูนี้อยู่ที่การผัดด้วยไฟแรง ทำให้ขอบเนื้อสัตว์เกิดความหอมไหม้เล็กน้อย ใบกะเพราสลายตัวพอเหมาะ และกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วทั้งจาน นอกจากนี้ การเลือกใช้ใบกะเพราชนิดต่างกันก็ส่งผลต่อรสชาติ โดยกะเพราแดงจะมีกลิ่นหอมฉุนแรงกว่ากะเพราขาว ส่วนกะเพราบ้านจะมีกลิ่นที่กลางๆ เหมาะสำหรับการทำอาหารในครอบครัว

ผัดกะเพรา คืออะไร?

ประวัติความเป็นมาของใบกะเพรา

ก่อนจะมาถึงเรื่องราวของเมนูผัดกะเพรา เราต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับตัวเอกหลักอย่าง “ใบกะเพรา” ก่อน ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของมองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ ในปี พ.ศ. 2230 ได้มีการบันทึกถึงใบกะเพราไว้ว่า “ผักลางชนิดที่มีกลิ่นดี เช่น กะเพรา” นี่แสดงให้เห็นว่าคนไทยรู้จักและใช้กะเพรามาอย่างน้อย 300 กว่าปีแล้ว

มีข้อสันนิษฐานว่าต้นกะเพราน่าจะรับเอามาจากศาสนาพราหมณ์ เนื่องจากพราหมณ์มักจะใช้กะเพราสำหรับบูชาเทพเจ้า โดยเฉพาะในพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับการที่กะเพราในภาษาสันสกฤตเรียกว่า “ทุลสี” (Tulsi) แปลว่า “ที่ไม่มีใครเทียบได้” และถือเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู การแพทย์อายุรเวทของอินเดียก็มีการใช้กะเพรามานานกว่า 5,000 ปี

ใบกะเพรามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ocimum tenuiflorum และมีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Holy basil หรือ Sacred basil เป็นไม้ล้มลุกในวงศ์ Lamiaceae สูงประมาณ 60-120 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขา มีใบเป็นรูปไข่แกมขอบใบหยักเล็กน้อย กะเพรามี 3 พันธุ์หลัก คือ กะเพราแดง กะเพราขาว และกะเพราบ้านที่เป็นลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและกะเพราขาว

ในอักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเล ได้มีการบันทึกไว้ว่ากะเพราเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามากมาย โดยเฉพาะในการช่วยขับลมในกระเพาะ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง และมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อโรค นอกจากนี้ยังมีการใช้กะเพราในการประกอบอาหารหลายชนิด ทั้งต้ม แกง ผัด และทอด โดยมีกลิ่นหอมฉุนเป็นเอกลักษณ์ที่มาจากสารเซสควิเทอร์พีนและเมทิลยูจีนอล

คนไทยโบราณนิยมปลูกต้นกะเพราไว้ตามบ้านเรือน ทั้งเพื่อใช้ประกอบอาหารและเพื่อสรรพคุณทางยา โดยเชื่อกันว่ากลิ่นของกะเพราช่วยไล่แมลงและทำให้บริเวณโดยรอบมีอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อในศาสนาฮินดูที่ถือว่ากะเพราเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถชำระล้างบาปและนำมาซึ่งความบริสุทธิ์ การที่กะเพรามีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมและความเชื่อมานาน จึงไม่แปลกที่จะกลายมาเป็นส่วนสำคัญของอาหารไทยในที่สุด

ต้นกำเนิดของผัดกะเพรา

เรื่องราวของผัดกะเพรามีความถกเถียงกันอยู่มากเกี่ยวกับว่าเมนูนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อใดและโดยใคร ตามข้อมูลจากอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “อาหารรสวิเศษของคนโบราณ” ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2531 ว่า “กะเพราผัดพริกเป็นของที่เพิ่งนิยมกันเมื่อ 30 กว่าปีมานี้” ซึ่งหากนับจากปีที่ตีพิมพ์ จะทำให้เห็นว่าผัดกะเพราน่าจะเริ่มนิยมราวปี พ.ศ. 2500

อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานอื่นที่แสดงว่าเมนูนี้อาจมีมาก่อนหน้านั้นเล็กน้อย จากคู่มือประกอบอาหารที่พิมพ์ในปี พ.ศ. 2513 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ “คุณแม่อึ่ง จันทร” ได้มีการบันทึกสูตร “ไก่ผัดกะเพรา” โดยระบุส่วนผสมอย่างชัดเจน รวมถึงการใช้ถั่วฝักยาวหั่นยาวประมาณ 1 นิ้ว นี่แสดงว่าในช่วงทศวรรษ 2510 เมนูนี้มีอยู่แล้วและเป็นที่นิยมพอที่จะบันทึกไว้ในตำราอาหาร

ข้อมูลจากกิเลน ประลองเชิง ผู้รู้ด้านอาหารไทย ระบุว่าต้นตำรับผัดกะเพราอยู่ที่ร้านชัยวัฒน์ กลางตลาดแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ประมาณปี พ.ศ. 2500 ซึ่งช่วงเวลานี้ตรงกับยุคที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนโยบายส่งเสริมวัฒนธรรมการกินแบบชาตินิยม โดยได้จัดการแข่งขันอาหารประจำชาติไทย ซึ่งผัดกะเพรา ก๋วยเตี๋ยว และผัดไทย ได้รับการบรรจุให้เป็นเมนูประจำชาติไทยในการแข่งขันครั้งนั้น

ความเป็นมาที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการดัดแปลงสูตร จากข้อมูลหลายแหล่งระบุว่าผัดกะเพราน่าจะดัดแปลงมาจากอาหารจีน โดยใช้หลักการผัดแบบจีนที่เอาเต้าเจี้ยวดำผัดกับกระเทียมเจียวให้หอม แล้วจึงเอาเนื้อสับหรือไก่หั่นเป็นชิ้นๆ ลงไปผัดกับน้ำปลาและซีอิ๊วดำ บางแหล่งก็ว่าเลียนแบบมาจากเนื้อผัดใบยี่หร่า ซึ่งเป็นอาหารจีนที่ใช้ใบหอมชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบ แต่คนไทยได้ดัดแปลงโดยเปลี่ยนมาใช้ใบกะเพราแทนเพราะหาได้ง่ายกว่าและมีกลิ่นหอมที่เข้ากับรสนิยมของคนไทย

สูตรดั้งเดิมของผัดกะเพราในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จะใช้เต้าเจี้ยวดำประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะเป็นเครื่องปรุงรสเค็มหลัก และใช้น้ำตาลปี๊บประมาณ 3-4 ช้อนชาเพื่อปรุงรสหวาน ผัดด้วยกระทะเหล็กแบบจีนด้วยไฟแรงมากจนเกิดกลิ่นไหม้นิดๆ ของเต้าเจี้ยวดำผสมซีอิ๊วดำหวาน ซึ่งให้รสชาติที่แตกต่างจากสูตรสมัยใหม่ที่นิยมใช้น้ำมันหอย ซอสปรุงรส และซอสต่างๆ มากมาย สูตรโบราณจะเน้นความเรียบง่ายและให้รสชาติออกมาจากวัตถุดิบหลักเป็นสำคัญ

วิวัฒนาการของผัดกะเพราในแต่ละยุคสมัย

จากสูตรดั้งเดิมที่เรียบง่าย ผัดกะเพราได้ผ่านการพัฒนาและดัดแปลงมาอย่างต่อเนื่อง ในยุคแรกๆ ราวทศวรรษ 2520 ตามตำราอาหารชุดจัดสำรับ (ชุด 2) ของจิตต์สมาน โกมลฐิติ ระบุว่าผัดกะเพราเนื้อจะปรุงด้วยน้ำปลาและผงชูรสเท่านั้น แล้วเอาข้าวลงผัดคลุกเป็นข้าวผัด กินกับถั่วฝักยาวสด ซึ่งวิธีการนี้แตกต่างจากปัจจุบันที่นิยมราดบนข้าวสวย

ในหนังสือกับแกล้มเหล้า ประมวลกับแกล้มเหล้า-เบียร์ทันยุค ของ “แม่ครัวเอก” พิมพ์ในปี พ.ศ. 2541 ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการโดยหมักเนื้อสับกับเหล้าก่อน แล้วปรุงเพียงน้ำปลาและน้ำตาลปี๊บ นี่แสดงให้เห็นว่าในช่วงปลายทศวรรษ 2530 ถึงต้นทศวรรษ 2540 ยังคงยึดถือสูตรที่เรียบง่ายและใกล้เคียงกับสูตรโบราณ

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา เมื่อผัดกะเพราเริ่มถูกโหมใส่ซอสปรุงรสชนิดต่างๆ มากมาย เช่น น้ำตาลทราย น้ำมันหอย รสดี น้ำพริกเผา ซอสหอยนางรม และซีอิ๊วดำ เพื่อให้รสชาติเข้มข้นและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ชอบรสชาติที่หลากหลายและซับซ้อนขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผัดกะเพราแต่ละร้านมีรสชาติที่แตกต่างกันไปตามสูตรและความชำนาญของแต่ละแม่ครัว

ด้านวัตถุดิบก็มีการพัฒนาเช่นกัน หากในอดีตนิยมใช้เพียงเนื้อหมูสับ ไก่สับ หรือเนื้อวัวสับเป็นหลัก ปัจจุบันได้มีการขยายไปยังวัตถุดิบอื่นๆ อย่างหลากหลาย เช่น ผัดกะเพราทะเล (กุ้ง หมึก หอย) ผัดกะเพราปลา ผัดกะเพราปู และแม้แต่ผัดกะเพราเจสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ บางร้านยังมีการทดลองใส่วัตถุดิบแปลกใหม่ เช่น ผัดกะเพรานางฟ้า (ใช้ตัวอ่อนจั๊กจั่น) หรือผัดกะเพราทุเรียนห่ามในฤดูกาล

การปรุงในปัจจุบันยังมีการเพิ่มผักหลากหลายชนิดเข้าไป เช่น ถั่วฝักยาว ข้าวโพดอ่อน แครอท พริกหยวก เห็ดฟาง เห็ดหูหนู หอมหัวใหญ่ เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางโภชนาการและสี สัน แต่สิ่งนี้ก็เป็นที่ถกเถียงในกลุ่มผู้ที่รักผัดกะเพราแบบดั้งเดิม โดยบางคนไม่พอใจร้านที่ใส่ถั่วฝักยาวหรือผักอื่นๆ มากเกินไป เพราะอาจทำให้ปริมาณเนื้อสัตว์ลดลง อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการที่ทำให้เมนูนี้มีความหลากหลายและตอบสนองต่อรสนิยมที่แตกต่างกันของผู้บริโภคยุคใหม่

ในปัจจุบัน ผัดกะเพราได้กลายเป็นมากกว่าแค่อาหารไทยธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเป็นไทยและได้รับการยอมรับในระดับสากล มีการพัฒนาซอสผัดกะเพราสำเร็จรูปที่สะดวกในการใช้งาน มีการจัดทำเป็นอาหารพร้อมทานแช่แข็งสำหรับส่งออก และมีร้านอาหารไทยทั่วโลกที่นำเมนูนี้ไปปรับให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น จนเกิดเป็นผัดกะเพราสไตล์ต่างๆ ที่แปลกตา เช่น ผัดกะเพราสวีเดนที่ใส่ผักหลากหลายชนิดแต่ไม่มีใบกะเพรา หรือผัดกะเพราสไตล์ฟิวชั่นที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมการกินของแต่ละประเทศ

คุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพ

ผัดกะเพรา 1 จานมีคุณค่าทางโภชนาการที่ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยผัดกะเพราหมูสับราดข้าว 1 จาน (ประมาณ 300 กรัม) ให้พลังงานรวมประมาณ 350-400 กิโลแคลอรี คิดเป็นประมาณ 28% ของพลังงานที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน ประกอบด้วยโปรตีน 16.3 กรัม (คิดเป็น 30% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน) ไขมัน 21.2 กรัม (คิดเป็น 33% ของปริมาณที่แนะนำ) และคาร์โบไฮเดรต 74.3 กรัม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่พอเหมาะสำหรับอาหารหนึ่งมื้อ

ส่วนประกอบหลักอย่างใบกะเพรามีคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยามากมาย ใบกะเพรา ¼ ถ้วย ให้พลังงานเพียง 1.38 กิโลแคลอรี แต่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินเค แคลเซียม แมงกานีส แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และโพแทสเซียม นอกจากนี้ยังมีสารสำคัญอย่างยูจีนอล โพลีฟีนอล และกรดคาเฟอิกที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่าใบกะเพรามีสรรพคุณหลายประการ ได้แก่ ช่วยลดระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะไขมันชนิดเลว (LDL) ในขณะที่ไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล ช่วยขับลมในกระเพาะ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ปวดท้อง และท้องอืดเฟ้อ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์บางชนิด และมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรกลุ่มอแดปโตเจนที่ช่วยปรับสมดุลภาวะจิตใจและลดความเครียด

พริกที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของผัดกะเพราก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน มีสารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงาน ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้เนื่องจากลิ่มเลือดแข็งตัวได้ช้ากว่าคนปกติ และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดปริมาณไขมันอุดตันในเส้นเลือด การทานอาหารเผ็ดอย่างผัดกะเพราจึงมีประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนโลหิตและสุขภาพหัวใจ

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแนะนำว่าหากต้องการได้รับประโยชน์สูงสุดจากผัดกะเพรา ควรปรับวิธีการทานให้เหมาะสม โดยไม่ควรผัดกะเพราโดยใช้น้ำมันมากเกินไป เพราะจะทำให้ไขมันสูงขึ้น ควรกินคู่กับข้าวในปริมาณพอเหมาะ ไม่เกิน 1 ทัพพี และควรกินผักสดต่างๆ แนม เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว ผักกาดแก้ว เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร กรณีที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง สามารถกินได้ แต่อาจต้องลดหมึก กุ้ง หรือเปลี่ยนมาใช้เนื้อไก่แทนเนื้อหมูเพื่อลดไขมันอิ่มตัว

สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แนะนำให้เลือกกินผัดกะเพราไก่หรือเนื้อที่มีไขมันน้อยกว่าหมู และควรระวังการใส่น้ำตาลมากเกินไป ส่วนผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ การกินผัดกะเพรา ใบกะเพราและพริกช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ได้จริงเนื่องจากมีสารต้านการอักเสบ แต่ไม่ได้มีประสิทธิภาพ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ควรเลือกกะเพราแดงใบเล็กเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ากะเพราขาวใบใหญ่ และควรใส่ใบกะเพราให้มากๆ เพื่อเพิ่มประโยชน์ต่อสุขภาพ

ผัดกะเพราในบริบทสากล

การที่ผัดกะเพราได้รับการจัดอันดับเป็นอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 3 ของโลกจาก TasteAtlas Awards 2023/2024 นั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าเมนูนี้ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่างกว้างขวาง การจัดอันดับนี้มาจากการโหวตและรีวิวของผู้ใช้งานจากทั่วโลก แสดงให้เห็นว่ารสชาติและเอกลักษณ์ของผัดกะเพราสามารถเจาะตลาดโลกและเป็นที่ชื่นชอบของคนหลากหลายสัญชาติ

ร้านอาหารไทยในต่างประเทศมักจะมีเมนูผัดกะเพราเป็นหนึ่งในเมนูขายดี แม้ว่าบางครั้งจะมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับรสนิยมและวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การลดความเผ็ดลง การใช้วัตถุดิบทดแทนที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น หรือการปรับเปลี่ยนวิธีการเสิร์ฟ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือผัดกะเพราสไตล์สวีเดนที่มีการใส่ผักหลากหลายชนิดมากกว่าสูตรไทยแท้ แต่กลับได้รับการตอบรับที่ดีและกลายเป็นเมนูขายดีประจำร้าน

ความนิยมของผัดกะเพราในต่างประเทศยังนำมาซึ่งการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ซอสผัดกะเพราสำเร็จรูปที่ส่งออกไปจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วโลก ชุดเครื่องปรุงผัดกะเพราแบบครบชุดสำหรับคนที่อยากทำกินเองที่บ้าน และแม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสผัดกะเพราที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย

นอกจากนี้ ผัดกะเพรายังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มักจะใช้อาหารไทยรวมถึงผัดกะเพราเป็นเครื่องมือในการดึงดูดนักท่องเที่ยว มีการจัดคอร์สสอนทำอาหารไทยสำหรับชาวต่างชาติที่ผัดกะเพราเป็นหนึ่งในเมนูหลักที่ต้องเรียนรู้ และมีการนำเสนอเมนูนี้ในงานแสดงวัฒนธรรมไทยต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งช่วยเผยแพร่ความเป็นไทยและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ

ทิ้งท้าย

ผัดกะเพราเป็นมากกว่าแค่เมนูอาหารธรรมดา แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมการกินที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการดัดแปลงของคนไทย จากต้นกำเนิดที่ถกเถียงกันว่ามาจากอาหารจีนหรือคิดค้นโดยคนไทยเอง เมนูนี้ได้ผ่านการพัฒนาและวิวัฒนาการมากว่า 70 ปี จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของอาหารไทยที่คนทั่วโลกรู้จักและชื่นชอบ

การที่ผัดกะเพราได้รับการจัดอันดับเป็นอาหารที่ดีที่สุดอันดับ 3 ของโลกนั้นเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอาหารไทยมีคุณภาพระดับโลก แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการดัดแปลงและเพิ่มเติมส่วนผสมต่างๆ มากมาย แต่แก่นแท้ของผัดกะเพราที่เป็นความเรียบง่าย กลิ่นหอมของใบกะเพรา และรสชาติที่กลมกล่อมยังคงอยู่ครบถ้วน หากใครอยากลองทำผัดกะเพราด้วยตัวเอง สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องปรุงพื้นฐานและเทคนิคการปรุงได้

ในยุคที่อาหารต่างชาติเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ผัดกะเพราก็ยังคงความนิยมและความสำคัญในฐานะเมนูที่ต้องมีในร้านอาหารตามสั่งทุกร้าน เป็นตัวเลือกที่ไม่มีวันผิดหวังสำหรับทุกมื้ออาหาร ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า กลางวัน หรือเย็น เมนูนี้พร้อมมอบความอร่อยและความอิ่มท้องให้กับทุกคนที่ชื่นชอบรสชาติไทยแท้ๆ สำหรับใครที่ยังไม่เคยทาน หรืออยากลองทำเองที่บ้าน นี่คือโอกาสดีที่จะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของอาหารไทยที่ได้รับการยกย่องระดับโลก

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button