อาหารและเครื่องดื่ม

ชาบูชาบู (Shabu-shabu) คืออะไร? ต้นกำเนิด ประวัติ และวิธีทำที่บ้าน

  • ชาบูชาบูคืออาหารหม้อไฟญี่ปุ่น ที่ใช้เนื้อสัตว์หั่นบางจุ่มในน้ำซุปดาชิคอมบุ กลิ้งไปมา 3-4 ครั้งจนสุกพอดี แล้วจิ้มน้ำจิ้มงาหรือปอนซุ เหมาะกับการทานร่วมกันเป็นกลุ่ม
  • ต้นกำเนิดจากจีนและมองโกเลีย ได้รับการพัฒนาในญี่ปุ่นโดยหมอโชยะ โยชิดะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และกลายเป็นเมนูยอดนิยมเมื่อร้าน Suehiro ในโอซาก้าตั้งชื่อและจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในปี ค.ศ. 1952
  • วัตถุดิบหลักประกอบด้วย เนื้อสัตว์หั่นบาง (เนื้อวัว หมู ไก่ หรืออาหารทะเล) ผักหลากหลาย (ผักกาดขาว เห็ด ต้นหอม) เต้าหู้ น้ำซุปดาชิคอมบุ และน้ำจิ้ม 2 แบบคือน้ำจิ้มงาและปอนซุ
  • เคล็ดลับการทำที่บ้าน เตรียมวัตถุดิบให้พร้อมก่อนปรุง ใช้เนื้อคุณภาพดีหั่นบาง อย่าต้มเนื้อนานเกินไป (5-10 วินาที) ใช้หม้อที่เก็บความร้อนได้ดี และคงอุณหภูมิน้ำซุปให้เดือดเบาๆ

เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมชาบูชาบู (Shabu-shabu) ถึงได้รับความนิยมไปทั่วโลก และชื่อที่แปลกหูนี้มาจากไหน? อาหารหม้อไฟญี่ปุ่นชนิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงมื้ออาหารธรรมดา แต่เป็นประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน การแบ่งปัน และความอบอุ่น ด้วยเนื้อหั่นบางเฉียบที่ชวนกลิ้งในน้ำซุปร้อนๆ เพียงไม่กี่วินาที ผักสดใหม่หลากหลายชนิด และน้ำจิ้มที่มีรสชาติเข้มข้น ชาบูชาบูจึงกลายเป็นหนึ่งในเมนูที่หลายคนต้องการลองทำที่บ้าน

บทความนี้จะพาไปรู้จักกับต้นกำเนิดของชาบูชาบู ที่มาของชื่ออันแปลกตา ประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ รวมถึงวิธีการทำชาบูชาบูแบบดั้งเดิมที่บ้านอย่างละเอียด ตั้งแต่การเลือกเนื้อสัตว์ คุณภาพน้ำซุป ไปจนถึงเทคนิคการจิ้มน้ำซอสให้อร่อยสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดทำอาหารหรือคนรักอาหารญี่ปุ่นตัวยง ก็สามารถทำตามได้ง่ายและสนุกไปพร้อมกัน

ชาบูชาบู คืออะไร?

ชาบูชาบูเป็นอาหารหม้อไฟสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียกว่า “นาเบะโมะโนะ” (Nabemono) ซึ่งหมายถึงอาหารที่ปรุงในหม้อเดียวและรับประทานร่วมกัน โดยลักษณะเด่นของชาบูชาบูคือการใช้เนื้อสัตว์หั่นบางมากๆ จนเกือบโปร่งแสง จุ่มลงในน้ำซุปร้อนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร กลิ้งไปมาสัก 3-4 ครั้ง จนเนื้อสุกพอดี แล้วจิ้มกับน้ำจิ้มที่มีรสชาติเข้มข้น อาทิ น้ำจิ้มงา (Goma Dare) หรือน้ำจิ้มปอนซุ (Ponzu) ก่อนรับประทานทันที

ชื่อ “ชาบูชาบู” มาจากเสียงเลียนแบบภาษาญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นตอนกลิ้งเนื้อในน้ำซุป คล้ายเสียง “ชาบู-ชาบู” หรือ “swish-swish” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวแบบเบาๆ ที่ไม่ต้องต้มนาน ต่างจากอาหารหม้อไฟชนิดอื่นที่ต้องรอให้วัตถุดิบสุกทีละมากๆ ความพิเศษของชาบูชาบูอยู่ที่การปรุงอาหารด้วยตัวเองที่โต๊ะ ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำอาหารและสนุกสนานไปพร้อมกัน

นอกจากเนื้อวัวที่เป็นส่วนประกอบหลักแล้ว ชาบูชาบูยังมีความหลากหลายในการเลือกใช้เนื้อสัตว์อื่นๆ เช่น เนื้อหมู ไก่ หรือแม้แต่อาหารทะเลอย่างปลา หอย กุ้ง และปลาปักเป้า ส่วนผักที่นิยมใช้ก็มีหลากหลาย เช่น ผักกาดขาว ต้นหอม เห็ดหลายชนิด เต้าหู้ และผักใบเขียวต่างๆ ทำให้เป็นอาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพและต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะไม่ต้องใช้น้ำมันในการปรุง

ชาบูชาบูมีความแตกต่างจากซูกิยากิ (Sukiyaki) ซึ่งเป็นอาหารหม้อไฟญี่ปุ่นอีกชนิดหนึ่งที่นิยมไม่แพ้กัน โดยซูกิยากิจะใช้น้ำซุปที่มีรสหวานและเค็มเข้มข้นกว่า และวัตถุดิบจะต้มสุกในหม้อพร้อมกัน ในขณะที่ชาบูชาบูใช้น้ำซุปที่มีรสอ่อนๆ ให้ผู้รับประทานปรุงเองทีละชิ้นและจิ้มน้ำจิ้มตามชอบ ทำให้รสชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิดโดดเด่นชัดเจน และสามารถปรับเปลี่ยนรสชาติได้ตามความต้องการของแต่ละคน

ชาบูชาบู คืออะไร?

ประวัติและต้นกำเนิดของชาบูชาบู

แม้ว่าชาบูชาบูจะเป็นอาหารญี่ปุ่นที่โด่งดัง แต่รากเหง้าของอาหารหม้อไฟชนิดนี้กลับสืบย้อนไปถึงมองโกเลียและจีน โดยอาหารหม้อไฟมีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว (Zhou Dynasty) ประมาณ 1046-256 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อชาวจีนเริ่มนำหม้อโลหะมาตั้งบนกองถ่านเพื่อต้มอาหาร ต่อมาในสมัยราชวงศ์หยวน (Yuan Dynasty) คริสต์ศตวรรษที่ 13-14 กุบไลข่าน (Kublai Khan) ผู้ครองจักรวรรดิมองโกลได้รับประทานหม้อไฟเนื้อแกะแบบจุ่มทันทีที่เรียกว่า “ชวนหยางโร่ว” (Shuan Yang Rou)

เมนู “ชวนหยางโร่ว” เป็นต้นแบบสำคัญของชาบูชาบู โดยคำว่า “ชวน” แปลว่า “ล้าง” หรือ “กลิ้ง” ใน่น้ำร้อน ส่วน “หยางโร่ว” หมายถึง “เนื้อแกะ” จานนี้เป็นที่นิยมในฤดูหนาวของปักกิ่ง ซึ่งผู้คนจะหั่นเนื้อแกะบางๆ แล้วจุ่มในน้ำซุปร้อนจนสุก จากนั้นจิ้มกับซอสงาและเครื่องปรุงต่างๆ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แพทย์ชาวญี่ปุ่นชื่อ โชยะ โยชิดะ (Shoya Yoshida) จากจังหวัดทตโตริได้ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน และได้ลิ้มลอง “ชวนหยางโร่ว” จนประทับใจ

เมื่อกลับมาญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1946 โชยะ โยชิดะได้แนะนำอาหารจานนี้ให้กับเชฟที่เกียวโต และร่วมกันพัฒนาให้เหมาะกับรสนิยมของคนญี่ปุ่น เนื่องจากเนื้อแกะหาได้ยากในญี่ปุ่น จึงเปลี่ยนมาใช้เนื้อวัวแทน นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนน้ำซุปเป็นดาชิคอมบุ (น้ำซุปจากสาหร่ายคอมบุ) ที่มีรสชาติอ่อนกว่า และพัฒนาน้ำจิ้มงาที่กลมกล่อมเหมาะกับเนื้อวัว อาหารนี้เริ่มแรกเรียกว่า “มิสึตากิเนื้อวัว” (Beef Mizudaki) หมายถึง “เนื้อวัวต้มในน้ำร้อน”

ในปี ค.ศ. 1952 ร้านอาหาร Suehiro ในเมืองโอซาก้าได้นำเมนู “มิสึตากิเนื้อวัว” มาจัดทำเป็นเมนูพิเศษของร้าน และได้ตั้งชื่อใหม่ว่า “ชาบูชาบู” จากเสียงที่เกิดขึ้นตอนกลิ้งเนื้อในน้ำซุป โดยเจ้าของร้านได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าชื่อนี้อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นชาบูชาบูเริ่มได้รับความนิยมในภูมิภาคคันไซ (Kansai) และในปี ค.ศ. 1955 ก็แพร่หลายไปยังโตเกียวและทั่วประเทศญี่ปุ่น จนกลายเป็นหนึ่งในอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมที่คนทั่วโลกรู้จักในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่สนใจอาหารและเครื่องปรุงรสญี่ปุ่นอื่นๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 30 ซอสปรุงรสญี่ปุ่น เครื่องปรุง และเครื่องเทศที่ควรมีติดครัว

วัตถุดิบสำหรับทำชาบูชาบู

เนื้อสัตว์

ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของชาบูชาบูคือเนื้อสัตว์ที่หั่นบางเฉียบ โดยเนื้อที่นิยมใช้มากที่สุดคือเนื้อวัว โดยเฉพาะส่วนที่มีไขมันแทรกลายหินอ่อน (marbled) อย่างซันิค (rib eye) หรือเซอร์ลอยน์ (sirloin) เพราะไขมันจะช่วยให้เนื้อนุ่มและมีรสชาติหวาน ในญี่ปุ่นเนื้อวากิว (Wagyu) เกรด A5 ถือเป็นตัวเลือกพรีเมียมที่ให้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่ยอดเยี่ยม นอกจากเนื้อวัวแล้ว ยังสามารถใช้เนื้อหมูโดยเฉพาะหมูดำคุโรบุตะ (Kurobuta) จากคาโกชิมะ เนื้อไก่ เนื้อแกะ หรืออาหารทะเลเช่น ปลาฮามาจิ (yellowtail) ปลาคังปาชิ (greater amberjack) ปลาทาย (sea bream) หอยเชลล์ กุ้ง หรือแม้แต่ปลาปักเป้า (fugu)

การหั่นเนื้อให้บางเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเนื้อต้องสุกได้ภายใน 3-4 วินาทีเมื่อจุ่มในน้ำซุปร้อน หากซื้อจากร้านขายของญี่ปุ่นหรือซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชีย มักจะมีเนื้อหั่นบางสำเร็จรูปสำหรับชาบูชาบูหรือซูกิยากิ แต่หากต้องการหั่นเอง แนะนำให้นำเนื้อแช่แข็งประมาณ 1-2 ชั่วโมงจนเนื้อแข็งพอสมควรแต่ยังไม่แข็งจัด จากนั้นใช้มีดคมหั่นบางๆ ตัดขวางเส้นเนื้อ ความหนาควรอยู่ที่ประมาณ 1-2 มิลลิเมตร เพื่อให้จุ่มสุกได้รวดเร็วและรับประทานง่าย

ผักและส่วนประกอบอื่นๆ

ชาบูชาบูเป็นโอกาสที่ดีในการรับประทานผักหลากหลายชนิด ผักที่นิยมใช้ ได้แก่ ผักกาดขาว (napa cabbage) ซึ่งมีรสชาติหวานอ่อนและเนื้อกรอบ เหมาะกับการต้มในน้ำซุป ต้นหอมหรือลีก (leek) หั่นเฉียงเพื่อให้สุกง่าย เห็ดหลายชนิดอย่าง เห็ดชิตาเกะ (shiitake) เห็ดเอโนกิ (enoki) เห็ดชิเมจิ (shimeji) ที่มีรสชาติอูมามิเข้มข้น ชุนกิกุ (shungiku หรือ chrysanthemum greens) เป็นผักญี่ปุ่นที่มีรสขมเล็กน้อยและหอม แครอทหั่นบางเฉียง หัวไชเท้า (daikon radish) และเต้าหู้หลายชนิด เช่น เต้าหู้ไหม เต้าหู้แข็ง หรือเต้าหู้ทอด

ส่วนประกอบเพิ่มเติมที่นิยมใช้ ได้แก่ คามาโบโกะ (kamaboko) ซึ่งเป็นขนมปลานึ่งของญี่ปุ่นที่มีลายหน้าตัดสวยงาม คุซุคิริ (kuzukiri) เส้นวุ้นแป้งมันสำปะหลัง และอุด้ง (udon) หรือเส้นราเมนสำหรับใส่ตอนท้ายเป็นเมนูปิดท้าย (shime) เมื่อน้ำซุปได้รสชาติจากเนื้อและผักแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มข้าวสวยเพื่อทำโจซุย (zosui) ซึ่งเป็นข้าวต้มญี่ปุ่น หรือโมจิ (mochi) ที่ทำให้น้ำซุปข้นและหนืด การจัดวัตถุดิบบนจานอย่างสวยงามก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชาบูชาบู ควรเรียงเนื้อและผักให้ดูน่ารับประทานและง่ายต่อการหยิบ

น้ำซุปและน้ำจิ้ม

น้ำซุปแบบดั้งเดิมของชาบูชาบูคือดาชิคอมบุ (kombu dashi) ซึ่งทำจากสาหร่ายคอมบุแช่น้ำ มีรสชาติอ่อนและมีอูมามิเล็กน้อย ไม่เค็มและไม่จัดจ้าน เพราะหน้าที่ของน้ำซุปคือการทำให้วัตถุดิบสุก ไม่ใช่ให้รสชาติเข้มข้น รสชาติจะมาจากน้ำจิ้มแทน บางสูตรอาจเพิ่มเปลือกยูสุ (yuzu) หรือเครื่องปรุงอื่นๆ เล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอม แต่ส่วนใหญ่จะรักษาความเรียบง่ายของน้ำซุป

น้ำจิ้มมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มรสชาติให้กับเนื้อและผักที่จุ่มมา น้ำจิ้มหลักๆ มี 2 ชนิด คือ น้ำจิ้มงา (Goma Dare หรือ Sesame Sauce) ซึ่งทำจากงาบด เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น (miso) ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูข้าว น้ำตาล และเกลือ มีรสชาติเข้มข้น ครีมมี่ และหอมงา เหมาะกับเนื้อวัวและเห็ด และ น้ำจิ้มปอนซุ (Ponzu) ซึ่งเป็นน้ำจิ้มที่มีรสเปรี้ยวสดชื่นจากน้ำมะนาว ผสมกับซีอิ๊ว มิริน และดาชิ เหมาะกับผักและอาหารทะเล นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรุงเพิ่มเติมที่สามารถใส่ในน้ำจิ้มได้ เช่น มูลีขูด (daikon oroshi) ต้นหอมซอย กระเทียมบด โมมิจิโอโรชิ (momiji oroshi – หัวไชเท้าขูดผสมพริก) หรือน้ำมันพริก สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับซอสปรุงรสญี่ปุ่นได้ที่ 30 ซอสปรุงรสญี่ปุ่น เครื่องปรุง และเครื่องเทศที่ควรมีติดครัว

@eatguide

🥢✨ แจกสูตรชาบูน้ำดำสไตล์ญี่ปุ่นทำเองง่ายๆ อร่อยเหมือนกินที่ร้าน!🍲 แค่มี CP ชาบูซุปน้ำดำก็ฟินได้ที่บ้าน ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องจ่ายแพง!🔥 ทำง่ายๆ แค่เทซุปน้ำดำผสมน้ำเปล่า คนให้เข้ากันรอให้เดือดปุดๆ 💨 กลิ่นหอมปลาคัตสึโอะกรุ่นสุดๆ! ใส่ผักเน้นๆ 🥬🌽 เห็ดหอม 🍄 กวางตุ้ง แล้วตามด้วยอูด้ง 🍜 และหมูสไลซ์ 🥩 จบครบในหม้อเดียว! รสชาติอร่อย เข้มข้น! 🥰กลมกล่อม จากสาหร่ายคอมบุ และมิรินแท้ 💸 งบน้อยหลักสิบ แต่ความอร่อยหลักร้อย! ✨ ปีใหม่นี้อยู่บ้านก็ฉลองได้ ฟินง่ายๆ ด้วย CP ซุปชาบูน้ำดำ! . 🔥 พร้อมทานในไม่กี่นาที!แค่ต้มซุปให้เดือด นำเนื้อและผักลงไป จุ่มเบาๆ ก็ได้ชาบูหอมๆ ที่บ้าน 👨‍🍳 สะดวก ประหยัด ไม่ต้องออกไปไหน กินได้ทุกเวลา จะกินคนเดียวหรือจัดปาร์ตี้ก็เอาอยู่! 🥳 อร่อยง่ายเหมือนมีเชฟมาทำให้ที่บ้าน CP ชาบูซุปน้ำดำ คือที่สุดของความสะดวกและฟิน! . 💸 : ซองละ 58.- 📍: ห้างสรรพสินค้า / ร้านสะดวกซื้อชั้นนำทั่วไป . ______________________________ #eatguide #อร่อยบอกต่อ ซุปชาบูน้ำดำซีพี หอมอร่อยเข้มข้นตามต้นตำรับญี่ปุ่น

♬ original sound – EatGuide – EatGuide

วิธีทำชาบูชาบูที่บ้าน

การเตรียมวัตถุดิบ

ขั้นตอนแรกในการทำชาบูชาบูคือการเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดให้พร้อมก่อนเริ่มปรุง เนื่องจากอาหารจานนี้จะปรุงที่โต๊ะอาหาร การเตรียมล่วงหน้าจึงเป็นกุญแจสำคัญ เริ่มจากการทำดาชิคอมบุ โดยนำสาหร่ายคอมบุ 1 แผ่น (ประมาณ 10×10 เซนติเมตร) เช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชื้น ห้ามล้างน้ำเพราะจะทำให้รสชาติลดลง แล้วแช่ในน้ำเปล่า 4-6 ถ้วย เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที หรือจะเตรียมไว้ข้ามคืนก็ได้ ยิ่งแช่นานยิ่งได้รสอูมามิเข้มข้น

ขั้นตอนต่อมาคือการเตรียมผัก ล้างผักกาดขาวให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำขนาดประมาณ 3×3 เซนติเมตร ต้นหอมหั่นเฉียงหนาประมาณ 1 เซนติเมตร แครอทหั่นบางเฉียงเป็นรูปวงรี เห็ดชิตาเกะตัดก้านออกและทำลายตกแต่งที่หมวกเห็ดตามชอบ เห็ดเอโนกิตัดโคนออกแล้วแยกเป็นกอกเล็กๆ เห็ดชิเมจิก็เช่นกัน ชุนกิกุตัดเป็นท่อนยาวประมาณ 5 เซนติเมตร เต้าหู้หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ขนาด 2×2 เซนติเมตร คามาโบโกะหั่นบางประมาณ 3 มิลลิเมตร จัดวัตถุดิบทั้งหมดลงบนจานเสิร์ฟใหญ่หรือแยกเป็นจานเล็กตามชนิดให้สวยงามและง่ายต่อการหยิบ

สำหรับเนื้อสัตว์ หากซื้อมาเป็นแผ่นแช่แข็ง ควรละลายแข็งในตู้เย็นก่อนใช้งาน จัดเรียงเนื้อบนจานให้สวยงาม อาจม้วนเนื้อเป็นลูกกลมหรือพับเป็นรูปดอกกุหลาบก็ได้ ควรแยกจานเนื้อจากจานผักเพื่อความสะอาด การเตรียมน้ำจิ้มก็ไม่ยาก สำหรับน้ำจิ้มงา ให้ผสมงาคั่วบด 4 ช้อนโต๊ะ เต้าเจี้ยวมิโซะ 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วญี่ปุ่น 2 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชูข้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 1 ช้อนชา และเกลือนิดหน่อย คนให้เข้ากันจนเนียน สำหรับน้ำจิ้มปอนซุสามารถซื้อสำเร็จรูปได้ หรือทำเองจากน้ำมะนาว น้ำส้มญี่ปุ่น ซีอิ๊ว มิริน และดาชิ แบ่งน้ำจิ้มใส่ชามเล็กสำหรับแต่ละคนอย่างน้อย 2 ชาม

การปรุงชาบูชาบู

เมื่อเตรียมวัตถุดิบครบแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มปรุงชาบูชาบู วางหม้อนาเบะ (donabe) หรือหม้อก้นหนาบนเตาตั้งโต๊ะที่โต๊ะอาหาร เทน้ำดาชิคอมบุที่เตรียมไว้ลงในหม้อพร้อมแผ่นคอมบุ ให้ความร้อนปานกลางจนเริ่มเดือด ระหว่างที่น้ำกำลังจะเดือด ให้สังเกตฟองอากาศเล็กๆ เกิดขึ้นรอบๆ แผ่นคอมบุ เมื่อน้ำกำลังจะเดือด (ก่อนเดือดพล่าน) ให้หยิบแผ่นคอมบุออกทันที เพราะหากต้มคอมบุนานเกินไป น้ำซุปจะมีรสขมและเหนียวหนืดได้ หลังจากนั้นปรับไฟให้น้ำซุปเดือดเบาๆ พอดี ไม่เดือดจัด

เริ่มต้นด้วยการใส่ผักที่ต้มนานกว่าลงไปก่อน เช่น แครอท ผักกาดขาว และเห็ดชิตาเกะ ใส่ทีละน้อย ไม่ใส่ทั้งหมดพร้อมกันเพราะจะทำให้อุณหภูมิน้ำลดลง รอจนผักเริ่มนิ่ม จากนั้นก็เริ่มปรุงเนื้อ วิธีการทานคือ ใช้ตะเกียบหยิบเนื้อชิ้นหนึ่ง จุ่มลงในน้ำซุป แล้วกลิ้งไปมาในน้ำซุปอย่างเบาๆ ประมาณ 3-4 ครั้ง หรือประมาณ 5-10 วินาที จนเนื้อเปลี่ยนสีจากแดงเป็นชมพูหรือสีน้ำตาลอ่อน ไม่ควรต้มนานเกินไปเพราะเนื้อจะเหนียว หยิบขึ้นมาให้น้ำสะเด็ดเล็กน้อย จิ้มกับน้ำจิ้มงาหรือปอนซุตามชอบ แล้วรับประทานทันที

ในขณะที่รับประทานเนื้อ ให้เติมผักชนิดอื่นๆ ลงไปในหม้อ เช่น เห็ดเอโนกิ เห็ดชิเมจิ ต้นหอม และเต้าหู้ ผักใบเขียวอย่างชุนกิกุควรใส่ตอนท้ายเพราะสุกเร็ว ประมาณ 30 วินาทีเท่านั้น คอยตักฟองและคราบที่ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำออกเป็นระยะเพื่อให้น้ำซุปใสและสะอาด ทุกคนที่โต๊ะสามารถช่วยกันปรุงและหยิบอาหารรับประทานไปพร้อมกัน ความสนุกของชาบูชาบูอยู่ที่การทานอาหารร่วมกัน คุยกัน และใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศอบอุ่น

เมนูปิดท้าย (Shime)

หลังจากรับประทานเนื้อและผักจนเกือบหมดแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายของชาบูชาบูคือการทำ “ชิเมะ” (shime) หรือเมนูปิดท้าย เนื่องจากน้ำซุปตอนนี้ได้รับรสชาติอันเข้มข้นจากเนื้อ ผัก และเห็ดที่ต้มมาตลอด จึงเป็นเวลาที่เหมาะจะทำอาหารปิดท้าย ตัวเลือกยอดนิยมคือการเพิ่มเส้นอุด้งหรือเส้นราเมนลงในน้ำซุป ต้มจนเส้นร้อนและนุ่ม จากนั้นตักใส่ชามพร้อมน้ำซุปและปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยตามชอบ หรืออาจจะเติมน้ำจิ้มปอนซุเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ

อีกทางเลือกหนึ่งคือการทำ “โจซุย” (zosui) ซึ่งเป็นข้าวต้มสไตล์ญี่ปุ่น โดยเติมข้าวสวยลงไปในน้ำซุป ต้มจนข้าวนุ่มและน้ำซุปข้น อาจเติมไข่ตีลงไปคนให้ทั่ว แล้วโรยด้วยต้นหอมซอยและโรยสาหร่ายโนริฉีก โจซุยมีรสชาติกลมกล่อม อบอุ่น และทำให้อิ่มท้องดี เหมาะสำหรับปิดท้ายมื้ออาหาร การทำชิเมะไม่เพียงแต่ช่วยไม่ให้เหลือน้ำซุปทิ้ง แต่ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากรสชาติที่สะสมในน้ำซุปอย่างคุ้มค่าอีกด้วย เมนูนี้ยังช่วยให้อิ่มท้องและอบอุ่นกายในคืนที่หนาวเย็น

เคล็ดลับและข้อควรระวัง

การทำชาบูชาบูที่บ้านให้อร่อยเหมือนร้านมีเคล็ดลับหลายประการ ประการแรกคือการเลือกใช้เนื้อคุณภาพดีที่มีไขมันแทรกพอสมควร ยิ่งเนื้อดีเท่าไหร่ รสชาติก็ยิ่งโดดเด่น หากมีงบประมาณ ควรลงทุนกับเนื้อดีๆ สักครั้ง ประการที่สองคืออย่าต้มเนื้อนานเกินไป การจุ่มเนื้อควรใช้เวลาเพียง 5-10 วินาที จนสีเนื้อเปลี่ยนแต่ยังชมพูเล็กน้อย หากต้มจนเนื้อสุกมากเกินไป เนื้อจะเหนียวและแห้ง สูญเสียความนุ่มและรสชาติหวาน

ประการที่สามคือการใช้หม้อที่เก็บความร้อนได้ดี หม้อนาเบะดินเผาแบบญี่ปุ่นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะกระจายความร้อนสม่ำเสมอและเก็บความร้อนไว้ได้นาน หากไม่มี ก็สามารถใช้หม้อก้นหนาหรือหม้อไฟฟ้าแทนได้ ควรหลีกเลี่ยงหม้ออลูมิเนียมบางเพราะอุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงง่าย ประการที่สี่คือการเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมก่อนเริ่มปรุง เนื่องจากการปรุงเป็นไปอย่างรวดเร็ว หากต้องมาหั่นผักหรือจัดจานระหว่างทาน จะทำให้เสียบรรยากาศและอุณหภูมิน้ำซุปลดลง ดังนั้นควรเตรียมทุกอย่างจัดวางไว้บนโต๊ะก่อนเริ่มปรุง

ประการที่ห้าคือการคงอุณหภูมิน้ำซุปให้พอดี น้ำซุปควรเดือดเบาๆ ไม่เดือดจัด หากเดือดจัดเกินไป น้ำจะระเหยเร็วและวัตถุดิบจะสุกเร็วเกินไป หากอุณหภูมิต่ำเกินไป เนื้อจะไม่สุกหรือสุกช้า ควรปรับไฟขึ้นลงตามจำนวนวัตถุดิบที่ใส่ ประการที่หกคือการตักฟองและคราบออกเป็นระยะ เมื่อต้มเนื้อและผัก จะมีโปรตีนและไขมันลอยขึ้นมาเป็นฟองและคราบบนผิวน้ำ การตักออกจะทำให้น้ำซุปใสและมีรสชาติดีขึ้น ควรเตรียมตะแกรงตักไว้ในชามน้ำข้างๆ หม้อเพื่อความสะดวก

สุดท้ายคืออย่าใส่วัตถุดิบทั้งหมดลงไปพร้อมกันตั้งแต่ต้น ควรใส่ทีละน้อยและค่อยๆ เติมเมื่อทานไปเรื่อยๆ เพื่อให้อาหารสดใหม่ตลอดเวลาและไม่ทำให้อุณหภูมิน้ำซุปลดลงมากเกินไป การทานชาบูชาบูควรเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลาย สนุกสนาน และใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง ไม่ต้องรีบร้อน และควรเพลิดเพลินกับการสนทนาและบรรยากาศไปพร้อมกัน สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 40 อาหารว่างญี่ปุ่น (ขนมกินเล่นญี่ปุ่น) ที่น่าลอง!

ความแตกต่างระหว่างชาบูชาบูกับอาหารหม้อไฟอื่นๆ

ความแตกต่างระหว่างชาบูชาบูกับอาหารหม้อไฟอื่นๆ

หลายคนมักสงสัยว่าชาบูชาบูต่างจากซูกิยากิ (Sukiyaki) หรืออาหารหม้อไฟญี่ปุ่นอื่นๆ อย่างไร ความแตกต่างหลักอยู่ที่น้ำซุปและวิธีการปรุง ชาบูชาบูใช้ดาชิคอมบุที่มีรสอ่อน ไม่เค็ม และให้ผู้รับประทานจิ้มน้ำจิ้มเพื่อเพิ่มรสชาติ ในขณะที่ซูกิยากิใช้น้ำซุปหวานที่ทำจากซีอิ๊ว สาเก มิริน และน้ำตาล วัตถุดิบทั้งหมดจะต้มในน้ำซุปพร้อมกัน และบางครั้งจิ้มไข่ดิบที่ตีก่อนรับประทาน ซูกิยากิมีรสชาติหวานและเค็ม เข้มข้นกว่าชาบูชาบูมาก

อาหารหม้อไฟญี่ปุ่นอีกชนิดหนึ่งที่คล้ายคลึงกันคือ “มิซุตากิ” (Mizudaki) ซึ่งเป็นต้นแบบของชาบูชาบู มิซุตากิใช้น้ำเปล่าหรือดาชิไก่ และมักจะใช้เนื้อไก่เป็นหลักมากกว่าเนื้อวัว วิธีการทานก็คล้ายกัน คือจุ่มเนื้อและผักในน้ำซุปแล้วจิ้มน้ำจิ้มปอนซุ นอกจากนี้ยังมี “โยเซะนาเบะ” (Yosenabe) ซึ่งเป็นอาหารหม้อไฟแบบใส่วัตถุดิบทุกอย่างลงไปต้มพร้อมกัน ใช้น้ำซุปดาชิหรือมิโซะ และมักมีอาหารทะเลมาก โยเซะนาเบะจึงเหมาะกับคนที่ชอบรสชาติเข้มข้นและต้องการความง่ายในการปรุง

เมื่อเทียบกับอาหารหม้อไฟจีน (Chinese Hot Pot) ชาบูชาบูมีความเรียบง่ายกว่า อาหารหม้อไฟจีนมีน้ำซุปหลากหลายรสชาติ ตั้งแต่น้ำซุปเผ็ดเหล่าเจียงไปจนถึงน้ำซุปกระดูกหมู และมักมีน้ำจิ้มหลายชนิดให้เลือก รวมถึงการผสมน้ำจิ้มเองตามชอบจากบาร์น้ำจิ้ม ในขณะที่ชาบูชาบูเน้นความเรียบง่ายและการชิมรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบ อาหารหม้อไฟเกาหลีก็มีความแตกต่างเช่นกัน เช่น “พูดแชจจิเก” ที่มีน้ำซุปรสเผ็ดและเค็มจากเต้าเจี้ยวเกาหลี หรือ “ชาบูชาบูสไตล์เกาหลี” ที่อาจเพิ่มพืชผักเกาหลีและน้ำจิ้มแบบเกาหลี

ทิ้งท้าย

ชาบูชาบูไม่ได้เป็นเพียงแค่มื้ออาหาร แต่เป็นประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น การแบ่งปัน และความสนุกสนาน ตั้งแต่ต้นกำเนิดที่มองโกเลียและจีน ผ่านการพัฒนาในญี่ปุ่นจนกลายเป็นเอกลักษณ์ ประวัติศาสตร์ของอาหารจานนี้สะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับรสนิยมท้องถิ่น การที่ร้าน Suehiro ในโอซาก้าได้ตั้งชื่อและพัฒนาเมนูนี้ในปี ค.ศ. 1952 ทำให้ชาบูชาบูกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่นที่คนทั่วโลกรู้จักและชื่นชอบ

การทำชาบูชาบูที่บ้านไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่มีวัตถุดิบที่ดี เตรียมการอย่างรอบคอบ และเข้าใจหลักการพื้นฐาน ก็สามารถสร้างประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นแท้ๆ ได้ที่บ้าน การเลือกใช้เนื้อคุณภาพดีหั่นบาง การทำดาชิคอมบุที่มีรสอ่อน การเตรียมผักสดและเห็ดหลากหลาย รวมถึงการทำน้ำจิ้มที่อร่อย ล้วนเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ชาบูชาบูที่บ้านอร่อยเหมือนร้าน นอกจากนี้ยังเป็นอาหารที่เหมาะกับคนรักสุขภาพ เพราะไม่ต้องใช้น้ำมันและสามารถควบคุมปริมาณเนื้อและผักได้ตามต้องการ

ในยุคที่ชีวิตเร่งรีบ การนั่งรับประทานชาบูชาบูร่วมกันกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเป็นโอกาสที่ดีในการหยุดพัก สนทนา และสร้างความทรงจำร่วมกัน ความสนุกของการปรุงอาหารเอง การเลือกวัตถุดิบที่ชอบใส่ลงไปในหม้อ และการจิ้มน้ำจิ้มตามรสนิยม ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมและสนุกไปด้วยกัน หากยังไม่เคยลองชาบูชาบู ถึงเวลาแล้วที่จะลองทำกันดูสักครั้ง รับรองว่าจะติดใจและอยากทำอีกแน่นอน เชิญชวนคนที่รักมานั่งรอบๆ หม้อร้อนๆ จิบน้ำจิ้ม คุยกัน หัวเราะกัน และสร้างความอบอุ่นให้กับบ้านในวันหนาวๆ หรือวันพิเศษใดๆ ก็ตาม!

กดเพื่ออ่านต่อ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button