ชาเย็น ประวัติและวิธีทำเครื่องดื่มไทยโด่งดังระดับโลก
- ชาเย็นเป็นเครื่องดื่มสัญลักษณ์ไทย ที่มีรสชาติหวานมัน สีส้มสดใส และได้รับการยอมรับระดับโลก ติดอันดับ 7 เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ดีที่สุดในโลกจาก TasteAtLas
- ประวัติชาเย็นเริ่มจากการผสมผสานวัฒนธรรม ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ที่ชาวจีนนำวัฒนธรรมชาเข้ามา ปี พ.ศ. 2436 มีนมข้นหวานตราแหม่มทูนหัว และปี พ.ศ. 2446 มีโรงน้ำแข็งแห่งแรกที่ทำให้เกิดชาเย็น
- วิธีทำชาเย็นง่าย ๆ ที่บ้าน ใช้ผงชาไทย น้ำร้อน น้ำตาล นมข้นหวาน นมข้นจืด และน้ำแข็ง เพียง 4 ขั้นตอนก็ได้ชาเย็นรสเข้มข้นอร่อยเหมือนร้านกาแฟ
- ดื่มชาเย็นอย่างมีสติ ควระวังปริมาณน้ำตาลที่สูง ลดความหวานหรือเลือกใช้นมสดแทนนมข้นหวาน เพื่อสุขภาพที่ดีและดื่มอย่างพอประมาณ
คิดถึงเครื่องดื่มสีส้มสดใส หอมกรุ่น หวานมัน ชื่นใจ ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยจนชาวต่างชาติทั่วโลกต่างยกย่อง หลายคนคงนึกถึง ชาเย็น หรือ ชาไทย (Thai Iced Tea) ทันที เครื่องดื่มแก้วนี้ไม่ได้เป็นเพียงเมนูยอดนิยมในร้านกาแฟและร้านอาหารไทยเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้คนทั่วโลกหลงรักรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
ชาเย็นเป็นมากกว่าแค่เครื่องดื่ม เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สะท้อนความผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ ตั้งแต่การรับอิทธิพลจากชาวจีนที่อพยพเข้ามา การนำเข้านมข้นหวานจากตะวันตก ไปจนถึงการคิดค้นน้ำแข็งที่ทำให้เครื่องดื่มนี้กลายเป็นชาเย็นสดชื่นที่เรารู้จักในปัจจุบัน วันนี้จะพาไปรู้จักประวัติความเป็นมาของชาเย็น รวมถึงวิธีทำที่ง่ายและอร่อยแบบฉบับร้านกาแฟ
ชาเย็น คืออะไร
ชาเย็น หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า Thai Iced Tea เป็นเครื่องดื่มชาสีส้มเข้มที่มีรสชาติเข้มข้น หวานมัน และกลมกล่อม โดยทั่วไปจะใช้ผงชาไทย (ใบชาแดงหรือใบชาอัสสัม) ชงกับน้ำร้อน แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาล ผสมกับนมข้นหวานและนมข้นจืด จากนั้นเติมน้ำแข็งเพื่อให้เย็นสดชื่น
สิ่งที่ทำให้ชาเย็นแตกต่างจากชาชนิดอื่นๆ คือสีส้มสดที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้มาจากใบชาดำและแดงที่ให้สีสันออกไปทางส้มอย่างธรรมชาติ เมื่อนำมาผสมกับนมข้นหวานและนมข้นจืด จะได้สีส้มนวลที่ดูน่าดื่มและเป็นที่จดจำ นอกจากนี้ ชาเย็นยังมีกลิ่นหอมเข้มข้นจากการชงชาที่เหมาะสม และรสชาติที่ผสมผสานระหว่างความขมอ่อนๆ ของชา ความหวานจากน้ำตาล และความมันนุ่มจากนม
ชาเย็นถือเป็นเครื่องดื่มที่ครองใจคนไทยและชาวต่างชาติมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ต้องลองเมื่อมาเยือนประเทศไทย รสชาติที่หวานมันกลมกล่อมทำให้ชาเย็นเข้ากันได้ดีกับอาหารไทยรสจัดจ้าน ช่วยดับความเผ็ดและเพิ่มความสดชื่นในทุกมื้ออาหาร

ประวัติความเป็นมาของชาเย็น
การเริ่มต้นของวัฒนธรรมการดื่มชาในไทย
ประวัติของชาเย็นเริ่มต้นจากวัฒนธรรมการดื่มชาที่แพร่เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณ มีหลักฐานระบุว่าคนไทยรู้จักการดื่มชากันมาตั้งแต่สมัยพระนารายมหาราช แต่การดื่มชาในยุคนั้นยังเป็นแบบดั้งเดิม คือการชงชาร้อนดื่มโดยไม่มีการปรุงแต่งมากนัก
อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมการดื่มชาแบบใส่นมและน้ำตาลเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 5 (ประมาณปี พ.ศ. 2443) เมื่อชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยและนำวัฒนธรรมการดื่มชามาด้วย ในช่วงแรกชาที่ดื่มกันเป็นชาจีนแบบดั้งเดิม แต่เนื่องจากรสชาติที่ขมและเข้มข้นเกินไปสำหรับคนไทยทั่วไป จึงมีการปรับเปลี่ยนโดยการเพิ่มนมและน้ำตาลเพื่อให้รสชาติหวานและนุ่มนวลขึ้น
นอกจากวัฒนธรรมจีนแล้ว ชาวไทยยังได้รับอิทธิพลจากพ่อค้าอินเดียที่เข้ามาทำการค้า โดยนำเอาวัฒนธรรมการดื่มชาแบบใส่นมและน้ำตาลมาแพร่หลายในหมู่ผู้คน การผสมผสานวัฒนธรรมจากหลายแห่งทำให้เกิดรูปแบบการดื่มชาที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย
จุดเปลี่ยนสำคัญของชาเย็น
ปี พ.ศ. 2436 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการชาในประเทศไทย เมื่อบริษัทเนสท์เล่ได้เปิดตัวนมข้นหวานตราแหม่มทูนหัวยี่ห้อแรกในไทย นมข้นหวานทำให้การดื่มชาแบบใส่นมใส่น้ำตาลกลายเป็นเรื่องง่ายและเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น คนไทยเริ่มชื่นชอบรสชาติหวานมันของชาที่ผสมกับนมข้นหวาน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 ประเทศไทยมีการจัดตั้งโรงน้ำแข็งเป็นแห่งแรก ซึ่งสามารถผลิตน้ำแข็งกินได้เอง น้ำแข็งเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเย็นสดชื่นให้กับเครื่องดื่มหลากหลายเมนู รวมถึงการเกิดขึ้นของชาเย็นในยุคนี้ด้วย การมีนมข้นหวาน น้ำแข็ง และชาพร้อมใช้ ทำให้ชาเย็นกลายเป็นเมนูยอดนิยมในร้านกาแฟโบราณที่เริ่มเกิดขึ้นมากมายในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาลที่ 6
ส่วนสีส้มสดของชาเย็นที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน เกิดขึ้นหลังจากชาตรามือได้รับความนิยมราวๆ ปี พ.ศ. 2488 แบรนด์ชาตรามือได้เปลี่ยนจากใบชาซีลอนผสมสีมาใช้ใบชาดำและแดงที่ให้สีสันออกไปทางส้มอย่างธรรมชาติ เมื่อชงกับนมและน้ำตาล จึงได้สีส้มนวลตามฉบับชาไทยหรือชาเย็นแท้ๆ
ชาเย็นไปไกลถึงระดับโลก
ในปัจจุบัน ชาเย็นหรือชาไทยกลายเป็นเครื่องดื่มที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป ซึ่งมักพบเห็นได้ในร้านอาหารไทยหลากหลายแห่ง ความนิยมของชาเย็นทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับการยอมรับจากหลายองค์กรระดับโลก
ในปี 2018 เว็บไซต์ CNNGO ได้จัดอันดับชาเย็นหรือชาไทยให้เป็นหนึ่งใน 50 เครื่องดื่มที่อร่อยที่สุดในโลก โดยติดอันดับที่ 27 และล่าสุดในต้นปี 2023 เว็บไซต์ TasteAtLas ได้จัดอันดับให้ชาไทยเป็นเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ดีที่สุดในโลกอันดับที่ 7 จาก 100 อันดับ ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่เครื่องดื่มท้องถิ่นสามารถไปไกลถึงระดับโลก
นอกจากนี้ ชาเย็นยังถูกนำไปประยุกต์ใช้ในเมนูอาหารต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ เช่น ไอศกรีมชาเย็น เค้กชาเย็น และแม้กระทั่งพิซซ่าหน้าไอศกรีมชาเย็นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมและความหลากหลายของชาเย็นในวงการอาหารและเครื่องดื่มระดับสากล
วิธีทำชาเย็นแบบง่าย ๆ ที่บ้าน
การทำชาเย็นที่บ้านไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงมีวัตถุดิบที่ถูกต้องและทำตามขั้นตอน ก็สามารถชงชาเย็นรสชาติเข้มข้น หอมหวาน เหมือนร้านกาแฟได้แล้ว
วัตถุดิบสำหรับทำชาเย็น (1 แก้ว)
- ผงชาไทยหรือใบชาสำเร็จรูป 2-3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำร้อนเดือดจัด 140-200 มิลลิลิตร
- น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ (ปรับตามความชอบ)
- นมข้นหวาน 30-40 มิลลิลิตร
- นมข้นจืด 20 มิลลิลิตร
- น้ำแข็ง
ขั้นตอนการทำชาเย็น
ขั้นตอนที่ 1: ชงชา นำผงชาไทยหรือใบชาใส่ในถุงชงชา หรือใส่ในถ้วยโดยตรง จากนั้นเทน้ำร้อนเดือดจัดลงไป ใช้ช้อนตีชาแรงๆ หรือสาวถุงชาไปมาเพื่อดึงกลิ่นหอมและสีของชาให้ออกมาเข้มข้นขึ้น ทิ้งไว้แช่ประมาณ 3-5 นาที จากนั้นกรองเอากากใบชาทิ้งไป
ขั้นตอนที่ 2: ปรุงรส เติมน้ำตาลทรายลงในน้ำชาที่ยังร้อนอยู่ คนให้ละลายเข้ากัน จากนั้นเทนมข้นหวานลงไป คนให้เข้ากันดี นมข้นหวานจะช่วยเพิ่มความหวานมันและทำให้ชามีสีส้มสวยงาม
ขั้นตอนที่ 3: เติมนมข้นจืด เทนมข้นจืดลงในน้ำชาที่ปรุงรสแล้ว คนให้เข้ากัน นมข้นจืดจะช่วยทำให้ชามีความนุ่มนวลและกลมกล่อมยิ่งขึ้น พักชาไว้ให้เย็นลงก่อนเทใส่แก้ว
ขั้นตอนที่ 4: เสิร์ฟ ใส่น้ำแข็งทุบหรือน้ำแข็งก้อนลงในแก้วเสิร์ฟ เทชาที่เตรียมไว้ลงบนน้ำแข็ง จากนั้นราดด้วยนมข้นจืดอีกเล็กน้อยด้านบนเพื่อเพิ่มความสวยงามและความหอมมัน พร้อมเสิร์ฟทันที
เคล็ดลับการทำชาเย็นให้อร่อย
การเลือกผงชาไทยคุณภาพดีเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ชามีกลิ่นหอมเข้มข้นและสีสวยงามตามต้องการ หากต้องการความเข้มข้นมากขึ้นสามารถเพิ่มปริมาณผงชาหรือเพิ่มเวลาแช่ให้นานขึ้น สำหรับรสชาติ ควรปรับน้ำตาลและนมให้เหมาะกับความชอบของแต่ละคน
หากต้องการทำชาเย็นเป็นจำนวนมาก แนะนำให้ทำเป็นหัวเชื้อชาเย็นโดยการชงชาเข้มข้น ปรุงรสด้วยน้ำตาลและนมข้นหวาน จากนั้นเก็บใส่ขวดแช่เย็นไว้ เมื่อต้องการดื่มก็เพียงแค่เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ราดนมข้นจืด ก็พร้อมดื่มได้ทันที วิธีนี้สะดวกและประหยัดเวลา เหมาะสำหรับทั้งดื่มเองและทำขาย
นอกจากชาเย็นแบบคลาสสิกแล้ว ยังสามารถประยุกต์ทำเป็นเมนูอื่นๆ ได้ เช่น ชาเย็นปั่น ชาไทยลาเต้ หรือนำไปทำเป็นไอศกรีมชาเย็นก็ได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่สนใจเครื่องดื่มชาชนิดอื่นๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับมัทฉะ ชาเขียวญี่ปุ่นคุณภาพสูงหรือพิธีชงชาญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป
ชาเย็นกับสุขภาพ
แม้ว่าชาเย็นจะเป็นเครื่องดื่มที่อร่อยและได้รับความนิยม แต่ก็มีข้อควรระวังเกี่ยวกับสุขภาพเช่นกัน ชาเย็นทั่วไปมักมีน้ำตาลในปริมาณสูงจากนมข้นหวานและน้ำตาล ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหากดื่มมากเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือต้องการควบคุมน้ำหนัก
อย่างไรก็ตาม ชาเองมีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นและกระตุ้นการทำงานของสมอง หากต้องการดื่มชาเย็นอย่างมีสติและดีต่อสุขภาพ แนะนำให้ลดปริมาณน้ำตาลลง เลือกใช้น้ำตาลทรายน้อย หรือเปลี่ยนเป็นน้ำผึ้ง หรือใช้นมสดแทนนมข้นหวาน เพื่อลดแคลอรีและความหวานลง
การดื่มชาเย็นควรพอประมาณ ไม่ควรดื่มเป็นประจำทุกวัน และควรสลับกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอื่นๆ เช่น น้ำเปล่า ชาเขียว หรือของหวานไทยที่มีประโยชน์อย่างบัวลอยน้ำกะทิหรือเฉาก๊วยที่ช่วยดับร้อนและมีคุณค่าทางโภชนาการ
ทิ้งท้าย
ชาเย็นเป็นเครื่องดื่มที่มีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ของไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก ด้วยรสชาติหวานมันกลมกล่อม สีส้มสดใส และกลิ่นหอมเข้มข้น ชาเย็นได้กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวัฒนธรรมไทยที่ชาวต่างชาติต่างยกย่องและติดใจ ประวัติความเป็นมาของชาเย็นสะท้อนถึงการผสมผสานวัฒนธรรมจากหลายแห่ง ตั้งแต่อิทธิพลจีน อินเดีย ไปจนถึงการนำเข้าเทคโนโลยีตะวันตก ทำให้เกิดเป็นเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
การทำชาเย็นที่บ้านไม่ยากเลย เพียงมีวัตถุดิบที่เหมาะสมและทำตามขั้นตอนง่ายๆ ก็สามารถชงชาเย็นรสชาติเข้มข้นอร่อยได้เหมือนร้านกาแฟ ไม่ว่าจะทำดื่มเองหรือทำขาย ชาเย็นก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่ช่วยสร้างรายได้และสร้างความสุขให้กับผู้ดื่ม อย่าลืมดื่มชาเย็นอย่างพอประมาณเพื่อสุขภาพที่ดี และลองประยุกต์ทำเป็นเมนูใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การดื่มชาที่แปลกใหม่
หากชอบเนื้อหานี้ อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักชาเย็นมากขึ้น และมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำชาเย็นในคอมเมนต์กันได้เลย









