สะตอ คืออะไร? ประวัติและที่มาของผักพื้นบ้านภาคใต้
- สะตอเป็นผักพื้นเมืองภาคใต้ ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ Parkia speciosa มีกลิ่นฉุนเป็นเอกลักษณ์ และนิยมปลูกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสายพันธุ์หลัก 3 ชนิด คือ สะตอดาน สะตอข้าว และสะตอป่า
- คุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี วิตามินซี และแร่ธาตุสำคัญ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ช่วยบำรุงร่างกายได้อย่างครบถ้วน
- ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ช่วยบำรุงสายตา ลดความดันโลหิต ควบคุมระดับน้ำตาล ส่งเสริมการขับถ่าย ขับปัสสาวะ และยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ
- ข้อควรระวัง ผู้ที่เป็นโรคเกาต์หรือมีกรดยูริกสูงควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากสะตอมีกรดยูริกค่อนข้างสูง อาจทำให้โรคกำเริบได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเป็นประจำ
เคยสงสัยหรือไม่ว่า สะตอ ผักที่มีกลิ่นฉุนเป็นเอกลักษณ์นี้มีความพิเศษอย่างไร? สำหรับหลายคนที่เติบโตมาในภาคใต้ สะตอไม่ใช่แค่ผักธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินที่ฝังลึกในชีวิตประจำวัน ทั้งกลิ่นที่แรง รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และคุณค่าทางโภชนาการที่อุดมสมบูรณ์
ในภาคใต้ของประเทศไทย ผักชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนแทบไม่มีครัวเรือนใดที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นการนำมาปรุงเป็นแกงส้มสะตอ ผัดสะตอกุ้ง หรือรับประทานคู่กับน้ำพริกกะปิ สะตอสามารถปรุงได้หลากหลายเมนู และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับสะตออย่างละเอียด ตั้งแต่ที่มา ประวัติความเป็นมา สายพันธุ์ต่างๆ ไปจนถึงประโยชน์และสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ พร้อมข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทาน
สะตอ คืออะไร?
สะตอ เป็นพืชผักยืนต้นที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Parkia speciosa Hassk. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (Mimosoideae หรือ Mimosaceae) ในภาษาอังกฤษ สะตอมีชื่อเรียกหลายแบบ เช่น Bitter bean, Twisted cluster bean และ Stink bean ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะเด่นของผักชนิดนี้ที่มีกลิ่นฉุนจัด
ลักษณะทางกายภาพของสะตอนั้นค่อนข้างโดดเด่น เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่สามารถเติบโตสูงได้ถึง 20-30 เมตร ลำต้นตั้งตรงและแข็งแรง ออกกิ่งก้านอยู่บริเวณส่วนบนของลำต้น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ดอกออกเป็นช่อรวมกันเป็นกระจุกคล้ายดอกกระถิน มีขนาดเล็กและมีสีเหลืองอ่อน
เมล็ดสะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวรุนแรงมาก ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่ทำให้หลายคนรู้สึกตื่นเต้นหรือหลีกเลี่ยง แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ กลิ่นนี้กลับเป็นเสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้
ฝักของสะตอมีลักษณะแบนยาว ภายในบรรจุเมล็ดสีเขียวเรียงกันเป็นแถว โดยทั่วไปแล้วหนึ่งฝักจะมีประมาณ 10-20 เมล็ด ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพการเจริญเติบโต เมล็ดมีรูปร่างกลมแบน เนื้อสะตอมีทั้งแบบกรอบและนุ่ม ขึ้นอยู่กับระดับความสุกและวิธีการปรุง
ส่วนที่นำมารับประทานหลักของสะตอคือเมล็ดที่อยู่ภายในฝัก โดยสามารถรับประทานได้ทั้งแบบดิบและปรุงสุก การรับประทานสะตอดิบมักจะทานคู่กับน้ำพริก ส่วนการนำมาปรุงสุกสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น ผัด แกง ทอด หรือนึ่ง แต่ละวิธีจะให้เนื้อสัมผัสและรสชาติที่แตกต่างกัน
นอกจากเมล็ดแล้ว ยอดอ่อนของสะตอก็สามารถนำมารับประทานได้เช่นกัน โดยนิยมนำมาทำเป็นผักเหนาะหรือใส่ในแกงบางชนิด ยอดสะตอมีรสชาติที่อ่อนกว่าเมล็ดและไม่มีกลิ่นฉุนมากนัก

ประวัติและที่มาของสะตอ
สะตอเป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดต่างๆ เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล และปัตตานี ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศและดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสะตอ
ในอดีต สะตอเป็นไม้ป่าที่ขึ้นตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าดิบแล้ง ชาวบ้านในท้องถิ่นจะเก็บฝักสะตอจากต้นที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมารับประทาน ต่อมาเมื่อพบว่าสะตอมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค จึงมีการนำมาปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจในสวนครัวเรือนและในไร่นามากขึ้น
การขยายพันธุ์สะตอในอดีตทำได้โดยการใช้เมล็ด แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคการขยายพันธุ์ที่ทันสมัยขึ้น เช่น การติดตา การตอนกิ่ง และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อให้ได้พันธุ์ที่ดีและให้ผลผลิตเร็วขึ้น
นอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็นิยมปลูกและบริโภคสะตอเช่นกัน ได้แ่ก มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ พม่า และลาว โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย สะตอเป็นผักที่ได้รับความนิยมสูงและมีการปลูกในเชิงพาณิชย์
การเก็บเกี่ยวสะตอเป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญ เนื่องจากต้นสะตอมีความสูงมาก ในอดีตชาวบ้านจะต้องปีนขึ้นไปเก็บฝักด้วยตนเอง หรือใช้ไม้เด็ดยาวในการตัดฝักลงมา บางพื้นที่มีอาชีพรับจ้างปีนต้นเก็บฝักสะตอโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาสะตอพันธุ์เตี้ยที่สะดวกต่อการเก็บเกี่ยวมากขึ้น
ตามตำราแพทย์แผนไทย สะตอถูกใช้เป็นสมุนไพรมาตั้งแต่โบราณ โดยใช้เมล็ดสะตอเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ปัสสาวะพิการ และแก้ไตพิการ การใช้สะตอเป็นยาสมุนไพรแสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเราได้ค้นพบคุณค่าทางการแพทย์ของสะตอมานานแล้ว
ฤดูกาลของสะตอจะอยู่ในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สะตอออกฝักมากที่สุดและมีคุณภาพดี ในช่วงนี้ราคาสะตอจะถูกลงและมีจำหน่ายทั่วไปในตลาดสด ส่วนในช่วงนอกฤดูราคาจะสูงขึ้นและหาซื้อได้ยากกว่า
สายพันธุ์ของสะตอ
สะตอที่นิยมปลูกและบริโภคในประเทศไทยสามารถแบ่งได้เป็น 3 สายพันธุ์หลักๆ ได้แก่
1. สะตอดาน
สะตอดานมีลักษณะฝักเหยียดตรง ไม่บิดเกลียว เปลือกหนากว่าสายพันธุ์อื่น ฝักมีความยาวประมาณ 1 ฟุต กว้างประมาณ 2 นิ้ว ในหนึ่งฝักจะมีเมล็ดประมาณ 10-20 เมล็ด และในแต่ละช่อจะมีประมาณ 8-15 ฝัก สะตอดานมีกลิ่นฉุนจัดกว่าสายพันธุ์อื่น เนื้อเมล็ดมีความแน่นและกรอบ มีรสชาติเข้มข้น เป็นที่นิยมของผู้ที่ชอบรสชาติสะตอแบบจัดจ้าน สะตอดานเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกกันมากในภาคใต้และได้รับความนิยมในการนำไปปรุงอาหารประเภทแกงและผัด
2. สะตอข้าว
สะตอข้าวมีลักษณะฝักบิดเป็นเกลียว ขนาดของฝักใกล้เคียงกับสะตอดาน แต่กลิ่นไม่ฉุนเท่าสะตอดาน และเนื้อเมล็ดไม่ค่อยแน่น เนื้อมีความกรอบหวาน รสชาติอ่อนกว่า และมีกลิ่นไม่รุนแรงมาก สะตอข้าวจึงเหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มทานสะตอหรือไม่ชอบกลิ่นที่แรงเกินไป สายพันธุ์นี้นิยมรับประทานแบบดิบหรือนึ่งคู่กับน้ำพริก และยังเหมาะกับการทำสะตอดองเนื่องจากเนื้อไม่แข็งจนเกินไป
3. สะตอป่า
สะตอป่าเป็นสายพันธุ์ที่พบตามธรรมชาติในป่า ฝักมีลักษณะแข็งกว่าสายพันธุ์อื่น รสชาติขมและไม่ค่อยอร่อย จึงไม่เป็นที่นิยมในการบริโภค บางครั้งชาวบ้านในท้องถิ่นอาจเก็บมาทานในยามขาดแคลน แต่โดยทั่วไปแล้วสะตอป่าจะถูกทิ้งไว้เป็นอาหารของสัตว์ป่า
นอกจากสายพันธุ์ดั้งเดิมแล้ว ปัจจุบันยังมีการพัฒนาสะตอพันธุ์ปรับปรุงใหม่ๆ ที่ให้ผลผลิตดีกว่า เช่น สะตอพันธุ์เตี้ย ที่มีความสูงเพียง 5-7 เมตรเมื่ออายุ 10 ปี ทำให้สะดวกต่อการเก็บเกี่ยวและดูแลรักษา สะตอพันธุ์ใหม่นี้ยังให้ผลผลิตทั้งในและนอกฤดู ฝักตรงสวยงาม มีขนาดสม่ำเสมอ และติดฝักดกกว่าพันธุ์ดั้งเดิม
การเลือกสายพันธุ์สะตอเพื่อปลูกขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ถ้าต้องการรสชาติเข้มข้นและกลิ่นแรง ควรเลือกสะตอดาน แต่ถ้าต้องการความอ่อนหวานและกลิ่นไม่รุนแรง สะตอข้าวจะเหมาะสมกว่า สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกเชิงพาณิชย์ ควรเลือกพันธุ์ปรับปรุงที่ให้ผลผลิตสูงและสะดวกต่อการดูแล
คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ
สะตอเป็นผักที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง มีทั้งโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ในสะตอ 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 124 กิโลแคลอรี และมีสารอาหารที่สำคัญต่างๆ ดังนี้
โปรตีน
สะตอ 100 กรัม มีโปรตีนสูงถึง 8 กรัม ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับผักทั่วไป โปรตีนในสะตอมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
คาร์โบไฮเดรต
สะตออุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย คาร์โบไฮเดรตในสะตอประกอบด้วยทั้งแป้งและใยอาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและสนับสนุนการทำงานของระบบทางเดินอาหาร
วิตามินและแร่ธาตุ
สะตอมีธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 และวิตามินซี ซึ่งล้วนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย
- แคลเซียม: สำคัญต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อและการส่งสัญญาณประสาท
- ฟอสฟอรัส: ทำงานร่วมกับแคลเซียมในการสร้างกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการเก็บและใช้พลังงานในเซลล์
- เหล็ก: จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงและการลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
- วิตามินบี: กลุ่มวิตามินบีช่วยในการเผาผลาญอาหาร การทำงานของระบบประสาท และการผลิตพลังงาน
- วิตามินซี: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมการดูดซึมธาตุเหล็ก
นอกจากสารอาหารหลักเหล่านี้แล้ว สะตอยังมีสารประกอบอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และสารไฟโตเคมีคัล (Phytochemicals) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านเชื้อจุลินทรีย์
อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่าสะตอมีกรดยูริกค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกรดยูริกในเลือดหรือผู้ที่เป็นโรคเกาต์ ดังนั้นผู้ที่มีภาวะดังกล่าวควรจำกัดการบริโภคสะตอหรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเป็นประจำ
ประโยชน์และสรรพคุณของสะตอ
สะตอไม่ได้มีแค่รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายที่ได้รับการสนับสนุนจากภูมิปัญญาท้องถิ่นและงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ช่วยบำรุงสายตา
สะตอมีส่วนช่วยบำรุงสายตา เนื่องจากมีวิตามินเอและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในดวงตาจากความเสียหาย การรับประทานสะตอเป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสายตาเสื่อมตามอายุ
ช่วยเจริญอาหาร
สะตอช่วยทำให้เจริญอาหาร กลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของสะตอช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยและน้ำลาย ทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการรับประทานอาหารไม่ได้
ช่วยลดความดันโลหิต
สะตอมีสรรพคุณที่ช่วยลดความดันโลหิต โพแทสเซียมในสะตอช่วยในการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ และช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
สะตอช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น สารอาหารในสะตอช่วยลดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
สะตอช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และเชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ ใยอาหารในสะตอช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ช่วยในการขับถ่าย
สะตอมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยขับลมในลำไส้ กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ และช่วยในการขับถ่าย ใยอาหารในสะตอช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้การขับถ่ายง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูกเรื้อรัง
ช่วยในการขับปัสสาวะ
สะตอช่วยในการขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ และช่วยแก้ไตพิการ ตามตำราแพทย์แผนไทย สะตอถูกใช้เป็นยาขับปัสสาวะมาตั้งแต่โบราณ ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ
ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์
สะตอช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา สารประกอบบางชนิดในสะตอมีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ ช่วยป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
สะตอมีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์ วิตามินบีและโฟเลตในสะตอช่วยในกระบวนการสร้างและซ่อมแซม DNA ซึ่งสำคัญต่อการแบ่งตัวของเซลล์ที่ถูกต้อง
การนำสะตอไปใช้ประโยชน์
ด้านอาหาร
สะตอใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด นอกจากนี้ยังมีเมนูยอดนิยมอื่นๆ อย่าง แกงส้มสะตอ แกงเหลืองใส่สะตอ น้ำพริกสะตอเผา และยังสามารถทานกับน้ำพริกกะปิแบบสดๆ ได้
สะตอสามารถปรุงได้ทั้งแบบสดและสุก การรับประทานแบบสดมักทานคู่กับน้ำพริกและผักสด ส่วนการปรุงสุกมีหลายวิธี เช่น ผัดกับกุ้งสดและกะปิ ใส่ในแกงต่างๆ ทอดกรอบ หรือนำไปเผาให้หอม แต่ละวิธีจะให้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ยังใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย สะตอดองเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาและสามารถรับประทานได้นานขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกลจากแหล่งปลูกสะตอ
ยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ ได้เช่นกัน โดยนำยอดอ่อนมาลวกหรือต้มจนสุก แล้วทานคู่กับน้ำพริกหรือใส่ในแกงบางชนิด
ด้านเกษตร
ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน ใบสะตอที่ร่วงหล่นหรือตัดแต่งออกสามารถนำมาหมักทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้ ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุและปรับปรุงโครงสร้างของดิน
ต้นสะตอยังมีประโยชน์ในการปรับปรุงดินในอีกทางหนึ่ง เนื่องจากเป็นพืชตระกูลถั่วที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศเข้าสู่ดินได้ ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
ด้านอุตสาหกรรม
ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ไม้สะตอมีเนื้อแข็งและทนทาน เหมาะสำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ไม้เศรษฐกิจหลัก แต่ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
ด้านยารักษาโรค
ตามตำราแพทย์แผนไทย สะตอใช้เมล็ดขับลมในลำไส้ ช่วยเจริญอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะปวดขัดหรือกะปริบกะปรอย หรือขุ่นข้น หรือมีเลือดไหลและอาการเกี่ยวกับไตพิการ การใช้สะตอเป็นยาสมุนไพรแสดงให้เห็นถึงคุณค่าทางการแพทย์ที่คนไทยรู้จักมานานแล้ว
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ศึกษาฤทธิ์ทางยาของสะตอในด้านต่างๆ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ และฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งสนับสนุนการใช้สะตอในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
วิธีดับกลิ่นสะตอ
หนึ่งในปัญหาหลักของการรับประทานสะตอคือกลิ่นที่ติดค้างหลังรับประทาน ซึ่งอาจทำให้รู้สึกอึดอัดในการสื่อสารกับผู้อื่น แต่มีวิธีดับกลิ่นสะตอที่ได้ผลดีหลายวิธี
วิธีที่นิยมที่สุดคือการรับประทานมะเขือเปราะประมาณ 2-3 ลูก หลังจากรับประทานสะตอ สารบางชนิดในมะเขือเปราะช่วยทำปฏิกิริยากับสารที่ทำให้เกิดกลิ่นในสะตอ ทำให้กลิ่นลดลงได้ในระดับหนึ่ง
การดื่มนมสดที่มีไขมันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยดับกลิ่นได้ ไขมันในนมจะช่วยดูดซึมสารที่ทำให้เกิดกลิ่นและล้างออกจากช่องปาก
การบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อก็ช่วยลดกลิ่นได้ระดับหนึ่ง แต่อาจไม่ได้ผลดีเท่าการรับประทานมะเขือเปราะหรือนม
การเคี้ยวหมากฝรั่งหรือมินต์สดก็เป็นวิธีที่นิยมใช้กัน แม้ว่าจะไม่ได้กำจัดกลิ่นออกไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็ช่วยปกปิดกลิ่นและทำให้ลมหายใจสดชื่นขึ้น
สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องกลิ่น วิธีที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการรับประทานสะตอในวันที่ต้องพบปะผู้คนมากหรือมีงานสำคัญ หรือเลือกทานสะตอข้าวที่มีกลิ่นไม่รุนแรงเท่าสะตอดาน
ข้อควรระวังในการรับประทานสะตอ
แม้สะตอจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่ผู้บริโภคควรทราบ
สะตอมีกรดยูริกสูง ผู้ที่เป็นโรคเกาต์หรือผู้ที่มีกรดยูริกในร่างกายสูงเกินค่ามาตรฐานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสะตอ เพราะอาจจะทำให้โรคเกาต์กำเริบได้ การสะสมของกรดยูริกในข้อต่างๆ ของร่างกายอาจทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบรุนแรง
กรดยูริกในร่างกายที่สูงยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ่ว โรคไตอักเสบ และมีอาการหูอื้อ ดังนั้นผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเหล่านี้ควรระมัดระวังในการรับประทานสะตอหรือปรึกษาแพทย์ก่อน
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มรับประทานสะตอ ควรเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน เพื่อดูว่าร่างกายมีอาการแพ้หรือไม่ บางคนอาจมีอาการแพ้สะตอ เช่น ผื่นคัน ท้องเสีย หรือคลื่นไส้
หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานสะตอเป็นประจำ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสะตอมีผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่ก็ควรระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
การรับประทานสะตอในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องอืด เนื่องจากสะตอมีใยอาหารสูงและมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ดังนั้นควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
สำหรับผู้ที่กำลังรับประทานยาบางชนิด โดยเฉพาะยาลดความดันโลหิตหรือยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานสะตอเป็นประจำ เนื่องจากสะตอมีผลต่อระดับความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือด อาจเกิดการทำงานร่วมกับยาที่อาจไม่พึงประสงค์
ทิ้งท้าย
สะตอ เป็นมากกว่าแค่ผักที่มีกลิ่นฉุนเป็นเอกลักษณ์ แต่เป็นพืชพื้นเมืองของภาคใต้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ตั้งแต่การช่วยบำรุงสายตา ลดความดันโลหิต ควบคุมระดับน้ำตาล ไปจนถึงการช่วยในการขับถ่ายและขับปัสสาวะ ทั้งหมดนี้ทำให้สะตอเป็นผักที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ
การรู้จักสะตอในแง่มุมต่างๆ ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา สายพันธุ์ คุณค่าทางโภชนาการ ประโยชน์ วิธีการใช้ ไปจนถึงข้อควรระวัง จะช่วยให้สามารถนำสะตอมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการนำมาปรุงเป็นอาหารรสเด็ดหรือใช้เป็นยาสมุนไพร
หากยังไม่เคยลองรับประทานสะตอ อาจจะเริ่มจากสะตอข้าวที่มีกลิ่นไม่รุนแรงนัก แล้วค่อยๆ ปรับไปเป็นสะตอดานเมื่อชินกับรสชาติและกลิ่นมากขึ้น ส่วนผู้ที่เคยชินกับสะตออยู่แล้ว ก็อย่าลืมรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะและระวังข้อห้ามต่างๆ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากผักพื้นบ้านชนิดนี้
ในท้ายที่สุด สะตอคือมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่คนไทย โดยเฉพาะชาวภาคใต้ ภาคภูมิใจและสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน การอนุรักษ์และส่งเสริมการปลูกสะตอไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังเป็นการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในท้องถิ่นอีกด้วย








![[Review] ร้านคาเฟ่ ฮานะ (HANA) ณ อุบลราชธานี #9 [Review] ร้านคาเฟ่ ฮานะ (HANA) ณ อุบลราชธานี](https://www.aroimak.co/wp-content/uploads/2020/10/HANA-7-390x220.jpg)
